ON THE ROCK #4
- มีเรื่องเหล้า -
{Sehun x Luhan}
‘ผมได้รู้จักความรักมากกว่าที่ผมเคยรู้จัก’
คนตัวสูงเดินล้วงกระเป๋าตามหลังเพื่อนสนิทตัวเล็กออกมาจากตึกภาคฟิล์ม
ต่างคนก็ต่างทำตัวไม่ถูกแปลกๆ เรารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เรารู้ว่าความรู้สึกระหว่างเราสองคนมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ก็เพราะว่ารู้นี่ไงล่ะถึงได้ทำตัวไม่ถูกกันอยู่แบบนี้..
“เดี๋ยวไปส่ง” เซฮุนบอกเมื่อเดินมาถึงหน้าตึก
ลู่หานสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบปฏิเสธ
“ไม่เป็นไร กูนั่งวินกลับก็ได้”
“เย็นแล้ว มันอันตราย”
ไอ้พีคบอกว่าถ่ายงานแค่ชั่วโมงเดียว
แต่รวมเสียเวลากับเราสองคนอีกสองชั่วโมง
รวมถึงสั่งพิซซ่ามากินกันสองถาดใหญ่เวลาก็ล่วงเลยมาจนเย็นย่ำ
“นั่น มอไซมาแล้ว กูไปนะ”
คนตัวเล็กลุกลี้ลุกลนวิ่งลงบันไดจะไปโบกวินมอไซหน้ารั้วคณะ
แต่ด้วยความรีบกลับทำให้สะดุดขั้นบันไดจนล้มลงไปทั้งตัว
“โอ๊ย!”
ใบหน้าหวานแหยด้วยความเจ็บ
มือน้อยกุมข้อเท้าของตัวเองที่มันปวดตุบๆเหมือนจะพลิก เซฮุนรีบเข้าไปประคองเพื่อนให้ยืนขึ้นแต่ก็ดูเหมือนว่าจะยืนเองไม่ไหว
“ไม่เป็นไร กูเดินเองได้”
ลู่หานยังคงดื้อ เซฮุนจึงลองปล่อยให้คนดื้อยืนด้วยตัวเองจะได้รู้ว่าอย่าฝืน
และก็เป็นไปตามคาด ร่างเล็กล้มทรุดลงไปนั่งกับขั้นบันไดเหมือนเดิม ขนาดยืนยังจะไม่ไหวเลย
แล้วจะไปเดินได้ยังไงล่ะนั่น
“ไงคนเก่ง”
ปากเล็กคว่ำเบะใส่คนช่างแกล้งช่างเยาะเย้ย
“ไปส่งกูขึ้นวินมอไซหน่อยดิ”
“ไม่”
“งั้น.. ไปเรียกมอไซให้มารับกูตรงนี้”
“ไม่”
“เรียกแท็กซี่มาก็ได้!”
“ไม่”
ลู่หานเม้มปากอย่างโกรธๆ โกรธที่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั่งเจ็บเท้าแล้วก็เถียงเขาอยู่แบบนี้
เสียเปรียบชัดๆเลย.. เสียหน้าด้วย! เซฮุนยืนกอดอกอมยิ้มกับท่าทางโกรธของลู่หาน
น่ารัก
คนดื้อยังคงพยายามยันตัวเองให้ยืนขึ้นให้ได้
แต่ยังไงมันก็ไม่สำเร็จเพราะยิ่งขยับขาก็ยิ่งปวดข้อเท้า สุดท้ายก็นั่งหน้ามุ่ยอย่างขัดใจตัวเองอยู่กับขั้นบันไดที่เดิม
เซฮุนย่อตัวนั่งยองข้างๆคนขาเจ็บ
“หายซ่าแล้วใช่มั้ย”
“...”
“ทีนี้จะให้กูไปส่งได้หรือยัง”
สุดท้ายลู่หานก็ยอมให้ผมมาส่งที่หอของมัน
แต่ฤทธิ์ของไอ้ลู่ไม่ได้หมดแค่นี้นะ มันยังดึงดันจะเดินขึ้นบันไดหอเองอีกด้วย แหมขอโทษทีเถอะ
แค่ยืนยังจะล้มไปใส่ถังขยะเลย เก่งแต่ปากแบบนี้ไงถึงได้น่าเป็นห่วงน่ะ
ผมช้อนตัวมันขึ้นอุ้มด้วยสองแขนแกร่ง
ถ้าจะใช้ไม้อ่อนพูดกันดีๆสุดท้ายก็ได้ยืนเถียงกันไม่จบเหมือนตอนอยู่หน้าตึกภาคฟิล์มนั่นแหละ
ไอ้ลู่ร้องเฮ้ยเสียงดัง มองซ้ายมองขวาอย่างอายๆที่ผมอุ้มมันประเจิดประเจ้อไม่เกรงใจคนแถวนี้เลย
ผมต้องเอาป้ายมาห้อยคอมั้ยว่าเพื่อนผมมันเจ็บขาน่ะ
“ปล่อยนะไอ้ฮุน อายเค้า”
“ถ้าขืนยังพูดมากอีกกูจะปล่อยมึงลงถังขยะจริงๆด้วย”
มันยอมสงบปาก สงสัยกลัวผมทำจริงเพราะหน้าผมกำลังตึงเอามากๆ
ลุงยามหน้าหอมองไอ้ลู่ขำๆแล้วอาสาเปิดประตูให้ ผมบอกขอบคุณก่อนจะพาไอ้คนดื้อขึ้นห้อง
“ไปโรงพยาบาลป่าว” ผมถามเมื่อเราสองคนเข้ามาอยู่ในห้องเรียบร้อย
“แค่ข้อเท้าพลิกน่าไม่ได้ไส้ติ่งแตก”
ผมวางลู่หานลงบนเตียงแล้วนั่งลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของมัน
ค่อยๆประคองข้อเท้าบวมแดงขึ้นมาดูอาการ คงเคล็ดไปอีกหลายวันถึงจะเดินได้
“กล่องยาอยู่ไหน”
“บนตู้”
มือเล็กชี้บอกตำแหน่ง
ผมจึงลุกเดินไปหยิบกล่องยาแล้วกลับมาจัดการกับข้อเท้าบวมๆยังกับเท้าช้างของมัน
พยายามทำให้เบามือที่สุดเพราะลู่หานบอบบางอย่างกับอะไร ขนาดแค่ผมเผลอจับแขนมันแรงๆยังเป็นรอยแดงเลย
ทำคิสมาร์กไปตามปกติที่เคยๆทำก็ยังขึ้นรอยแดงเป็นจ้ำ ผิวจะบางไปไหน
นั่งทำแผลให้ไม่นานก็เสร็จ ไอ้ลู่กัดฟันตัวเองไม่ให้ร้องสงสัยกลัวเสียฟอร์ม
มือแกร่งกลัดผ้าพันเคล็ดให้เข้าที่ ตรวจเช็คอีกนิดหน่อยเพื่อความเรียบร้อย
“ทำเสร็จก็กลับไปได้แล้วไป” เสียงหวานเอ่ยไล่ทันที
เหมือนอยากหนีหน้าผมยังไงชอบกล
“ทำอะไร ทำแผล หรือว่าทำ..” สายตาคมมองเลยไปยังผืนเตียง
“บ้า! ทำแผลสิโว้ย”
“ว้า ไม่หลงกลว่ะ”
ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ตามปกติของผมเวลาเล่นมุก
แต่มันกลับทำให้ลู่หานหน้าตื่นเหมือนระแวง
ผมเอากล่องปฐมพยาบาลไปเก็บไว้หลังตู้ที่เดิมก่อนจะกลับมาชี้หน้าสั่งคนดื้อ
“อย่าเดินไปไหนมาไหนมาก เดี๋ยวไม่หาย
ถ้าอยากได้อะไรให้โทรบอกกูเดี๋ยวซื้อขึ้นมาให้ โอเค้”
“อื้ม ขอบใจนะ”
“กูไปล่ะ”
“บาย”
“ไม่รั้งหน่อยหรอ”
“ไปไหนก็ไปไป๊!”
เสียงหวานเอ่ยไล่ ลู่หานยิ้มให้กับผมแทนคำขอบคุณและบอกลา..
ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่ารอยยิ้มของลู่หานมันจะน่ารักละลายใจถึงเพียงนี้.. รอยยิ้มของมันทำผมเผลอมองไปหลายวินาทีเลยล่ะ
สุดท้ายผมก็จำใจละสายตาออกมาจากรอยยิ้มนั้นแล้วเดินออกจากห้องของลู่หานไป
แต่เดินออกมาไม่ถึงสามก้าวก็ได้ยินเสียงโครมดังมาจากภายในห้องของไอ้ลู่มัน
ส่งผลให้ผมที่พึ่งเดินออกมาไม่ถึงห้าวินาทีต้องรีบวิ่งหน้าตื่นกลับไปเคาะประตูห้องมันรัว
ปังๆๆๆ!
“ไอ้ลู่!
เป็นเหี้ยอะไรว้า!! เปิดประตู!”
ลืมไปว่ามันขาเจ็บเดินแทบไม่ได้ ก็เลยพยายามใจเย็นรอมันมาเปิดประตูให้
แต่ถ้ามันน็อกหัวฟาดพื้นสลบอยู่ล่ะวะ
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า ส่งเสียงให้ได้ยินหน่อยโว้ย!”
“ยังไม่ตาย!” มันตะโกนบอก
“ออกมาเปิดประตูไหวมั้ย”
“รอแป๊บนึง”
ได้ยินเสียงเหมือนมันเตะเข้ากับอะไรบางอย่างตะกุกตะกัก
ยืนรออยู่ประมาณนาทีได้มันถึงเปิดประตูให้ผม
ไอ้ลู่เกาะขอบประตูแน่นพยายามพยุงตัวเองให้ยืนไว้ พอประตูเปิดอ้าออกผมถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจกับสภาพห้องข้างใน
“ทำไมสภาพห้องมันถึงได้เละขนาดนั้นฮะ!”
“คือ.. กูแค่จะเดินไปอาบน้ำ แล้ว
เสียหลักชนตู้หนังสือล้ม..”
มันยกมือขึ้นเกาท้ายทอยอายๆ
ผมก็เลยกอดอกพร้อมกับขมวดคิ้วใส่มันอย่างดุๆ
นี่ถ้าผมเดินออกไปไกลกว่านี้แล้วไม่ได้ยินเสียงโครม ผมก็คงไม่รู้ว่าไอ้ลู่มันจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง
แล้วถ้าเกิดเป็นหนักกว่านี้อย่างเช่นตู้หนังสือล้มทับหรือสะดุดล้มขาหักอีกข้างจะทำยังไงวะ
“เจ็บขนาดนี้แล้วยังทำปากเก่งไล่กูกลับอีก
สำออยกับกูได้ไม่เป็นไร ทีเรื่องอื่นล่ะบ่นได้เป็นวรรคเป็นเวรเชียว มานี่!”
“มะ ไม่ต้องอุ้ม”
ร่างเล็กหลบหลังประตูไม่ยอมให้อุ้ม
“ทำไม เกิดหวงตัวอะไรขึ้นมา
มึงเจ็บอยู่นะไอ้ลู่ ช่วยดูสภาพตัวเองนิดนึงเถอะว่ะ กูขอ”
ผมเริ่มหัวเสีย ถ้าผมสังเกตไม่ผิด
ลู่หานมันดูหนีผมจริงๆด้วย แต่ไม่ได้เชิงรังเกียจหรืออะไรทั้งนั้น มันแค่เขินจนทำตัวไม่ถูกก็แค่นั้นเอง
ก็แหงดิ เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน อยู่มาวันหนึ่งดันจูบกัน จูบแบบดูดดื่มจนฉากขาดไปอันนึงด้วย
ลู่หานคงยังปรับตัวไม่ถูก จากที่เคยเข้าใจว่าเพื่อนคือเพื่อน แฟนคือแฟน
แต่วันนี้คำว่าเพื่อนกับแฟนมันคาบเกี่ยวทับซ้อนกันอยู่ มันคงทำตัวไม่ถูกมั้ง
ผมชิลๆนะ
คนอินดี้อย่างผมน่ะจริงๆแล้วไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหรอก คิดอะไรก็แสดงออกไปอย่างนั้น
เป็นห่วงคือเป็นห่วง ชอบคือชอบ รักคือรัก แล้วผมก็ดูออกว่าลู่หานกำลังรู้สึกยังไงเพราะเราเป็นคนประเภทเดียวกัน
เรื่องนี้เราต่างกันตรงที่ผมปล่อย แต่ลู่หานดันแบกเอาไว้บนบ่าจนมันหนัก
ก็เท่านั้นเอง
“กลัวมันจะเกิดอะไรๆเหมือนตอนอยู่ในสตูฯอีกหรือไง”
“...”
“หึ.. มึงเป็นคนเริ่มก่อนแท้ๆ”
“...”
เงียบแปลว่าใช่..
แก้มแดงๆนั่นก็แปลว่าใช่ด้วย
พอมีครั้งแรก
ครั้งที่สองก็ตามมาได้ไม่ยาก ผมรู้ แต่ผมไม่ใช่พวกสำส่อนหรือพวกมักมากเอาแต่ได้
ถ้าอีกฝ่ายไม่เต็มใจผมก็ไม่บังคับ(ยกเว้นบรรยากาศพาไป) ผมรู้ว่าลู่หานกลัวอะไร
ถ้าเปรียบก็เหมือนลูกแมวตัวน้อยกับเสือป่ามากประสบการณ์ล่าเหยื่อ
ยิ่งอยู่ในห้องกันสองต่อสองมันก็ยิ่งสุ่มเสี่ยง โอเค้
ถึงผมจะช่ำชองเรื่องพรรค์นั้น แต่ผมก็มีสติแยกแยะว่าเวลาไหนควรไม่ควร
อย่างเช่นตอนนี้ที่ลู่หานกำลังเจ็บ ผมจะไปทำอะไรมันได้วะ
มีแต่ความเป็นห่วงจนเริ่มหงุดหงิดที่มันเอาแต่ผลักไสไม่ยอมให้ผมช่วยมันเนี่ย
ในเมื่อพูดกันดีๆไม่รู้เรื่อง มันก็ต้องใช้ไม้แข็งแล้วล่ะว่ะ
ดื้อๆอย่างนี้ต้องกำราบ ไม่ใช้อ่อนข้อให้ได้ใจ
ผมจ้องหน้าลู่หานนิ่ง
พร้อมกับเอ่ยเสียงแข็ง
“ถ้ามึงดื้ออีก กูจูบแน่”
“เฮ้ย!”
ร่างเล็กลอยหวือขึ้นจากพื้นด้วยสองแขนแกร่ง
ผมใช้เท้าเตะปิดประตูห้อง ก่อนจะพาคนไม่เจียมสังขารยัดเข้าไปห้องน้ำ
มือเล็กปัดป่ายดันหน้าตบตีทึ้งหัวผมไปทั่ว ล่าสุดคือเอาเล็บข่วนหน้าผม เดี๋ยวปั๊ด
“กูอาบเองได้!”
ผมวางลู่หานลงก่อนจะเดินออกไปหยิบเก้าอี้เข้ามาให้มันนั่งอาบน้ำ
ลู่หานยังคงทำหน้ามุ่ยเหมือนไม่พอใจอะไรเลยสักอย่าง
“ถ้าโวยวายอีกกูจะเข้ามาอาบให้”
“ไอ้..”
“กูจะออกไปเก็บของ อาบเสร็จแล้วเรียก”
มันทำหน้ามุ่ยพร้อมกับขมุบขมิบปากบ่นไม่ออกเสียง
แต่ผมอ่านปากมันออกว่ามันด่าผมว่า ‘ไอ้คนชาติชั่ว’ ผมจึงเดินไปยังประตูห้องน้ำที่เปิดแง้มๆไว้อยู่ แต่ผมไม่เดินออกไป กลับยืนกอดอกพิงขอบประตูห้องน้ำมองดูมัน
ลู่หานคงคิดว่าผมเดินออกไปแล้วถึงได้เริ่มปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด จนกระทั่งถึงเม็ดล่างสุดมันถึงค่อยรู้สึกตัวว่าผมยังคงยืนอยู่ไม่ได้ไปไหน
ร่างเล็กสะดุ้งจนตัวโยนแล้วรีบจับขอบเสื้อเข้าหากัน
“ออกไปสิ!”
“แก้ผ้าให้กูดูรอบสองแล้วนะ”
ผมพูดยียวน มือแกร่งปิดประตูห้องน้ำก่อนจะผิวปากอย่างกวนๆ
โดยทิ้งให้คนหน้าหวานนั่งแก้มแดงเป็นลูกมะเขือเทศสุกอยู่ข้างในนั้น
“กูไปแก้ผ้าให้มันดูตอนไหนวะ..”
ดวงตากลมโตกลอกซ้ายขวาไปมาอย่างครุ่นคิด
“หรือจะเป็นตอนเมา”
สองมือน้อยยกขึ้นปิดร่างกายตัวเองอย่างอายๆ
“วินยังไม่เคยเห็นเลยนะเว้ย ไอ้ชั่ว!”
.
.
กว่าจะเก็บกวาดห้องจนสะอาดเรียบร้อยและจัดการคนดื้อดึงให้มาอยู่บนเตียงด้วยชุดนอนก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง
ผมเสตามองลู่หานที่นั่งเล่นเกมอยู่บนเตียงอย่างสบายใจ ในขณะที่ผมนั่งเหงื่อท่วมตัวและหัวฟูชิบหายเพราะพึ่งเก็บของ(ที่แม่งพังห้อง)เสร็จ
แค่มันไม่ดื้อไม่เถียงให้ผมเหนื่อยเพิ่มก็ขอบคุณแล้วล่ะ
ผมถอนหายใจก่อนจะลุกไปอาบน้ำ ยืมเสื้อผ้ามันนี่แหละง่ายดี ขี้เกียจกลับห้อง
สิบนาทีต่อมาผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยกางเกงผ้าขายาวตัวเดียว
เสื้อของไอ้ลู่ผมใส่ไม่ได้ ขนาดตัวที่ใหญ่ที่สุดของมันผมยังใส่ไม่ได้เลย แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกเพราะปกติผมก็ไม่ใส่เสื้อนอนอยู่แล้ว
ลู่หานกะเด้งตัวขึ้นจากเตียงเมื่อเห็นสภาพกึ่งเปลือยของผม
ดวงตากลมโตนั้นแทบถลนออกนอกเบ้า
“ไปใส่เสื้อเดี๋ยวนี้!”
“มึงจะเสียงดังให้ข้างห้องเค้ามาด่าหรือไง
เสื้อมึงกูใส่ไม่ได้ซักกะตัว”
“ใส่ตัวเดิมสิ”
“เหม็นเหงื่อ ขยับไปดิ้จะนอน”
“ใครให้นอนด้วย”
“อ้าว ไม่ให้นอนข้างๆ
จะให้นอนบนตัวคุณหรือไงครับ”
“ทะลึ่ง!
ลงไปนอนข้างล่างนู่น”
มือเล็กโยนหมอนอีกใบให้ผมรับ
ผมก็รับไว้ แต่ก็โยนมันกลับไว้บนเตียงเหมือนเดิม
“กูเจ็บเท้าอยู่นะ”
“โอ๊ย.. ปวดเนื้อปวดตัวจะแย่”
ผมทำเป็นไม่สนใจแล้วเอนตัวนอนลงบนเตียงข้างๆลู่หาน
กำปั้นเล็กชกไหล่ผมทีนึง ลามมาชกตามเนื้อตามตัวผมอย่างโกรธๆ แต่แรงแค่นั้นเหมือนกำลังนวดตัวให้ผมมากกว่า
“สระผมมาหรอ
นอนแบบนี้เดี๋ยวหมอนกูก็เปียกหรอก” อยู่ๆไอ้ลู่ก็บ่น คนจะน๊อน
“อะไรนักหนาวะ”
“ลุกขึ้นมาเลย”
มันมองผมตาเขียว ท่าทางเอาเรื่องสุดๆ
ผมทำหน้าเซ็งนิดหน่อยแต่ก็ยอมลุกขึ้นนั่ง มันสั่งให้ผมหยิบผ้าเช็ดตัว ผมก็หยิบมา
และมือเล็กนั้นก็คว้าแย่งผ้าเช็ดตัวไปจากผมดื้อๆ
“นอนไปทั้งแบบนี้ตลอดเลยหรอ
หวัดไม่กินเอาก็บุญแค่ไหนแล้วเนี่ย”
เสียงหวานยังคงบ่นไม่หยุดพร้อมกับใช้ผ้าซับน้ำเปียกๆจากเส้นผมของอีกฝ่ายไปด้วย
“กูขอโทษนะที่.. วันนี้เอาแต่ใจไปหน่อย”
“ไม่หน่อยล่ะ”
“เออ ขอโทษ” ลู่หานทำเสียงง้อๆ
“กราบตีนเลยมา”
“คุยกันดีๆได้ไม่เท่าไหร่ก็กวนตีนอีกแล้วนะ”
ผมหัวเราะ ผมชอบแหย่มันเล่น ว่าเวลามันโกรธน่ะน่ารักดี
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมเสพติดการอยู่ข้างๆมัน การอยู่กับลู่หานผมไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะดีขนาดนี้
มันรู้สึกสบายใจ ผ่อนคลาย แล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรมากมายเลย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงไม่เคยคิดถึงหลินอีกหลังจากเลิกกัน
เพราะผมแม่งเจอจิ๊กซอว์ตัวที่พอดีกับผมแล้วไงล่ะ..
“อ่ะ ผมแห้งแล้ว นอนได้”
“ลู่หาน”
“อะไร”
“มึงยังคิดถึงวินอยู่ป่ะวะ”
“...”
ผมหันไปถามมันด้วยน้ำเสียงจริงจัง
สีหน้าของลู่หานดูนิ่งอึ้งไปและคงไม่คาดคิดว่าผมจะถามคำถามนี้ออกมาในเวลานี้
“ถ้ากูบอกว่าไม่คิดถึง
แต่ก็ยังไม่ลืมวินล่ะ”
“เออ ช่างแม่ง ถือว่ากูไม่ได้ถามละกัน
นอนเหอะ นอนๆ” ผมตบหมอนปุๆอย่างโคตรเซ็ง
“ฟังให้จบก่อนดิ”
“ง่วงๆ”
“คือวินเป็นแฟนที่ดีมากคนหนึ่ง
ถึงแม้ว่าเราจะจบกันไม่สวย แต่ครั้งหนึ่งเราก็เคยรักกัน เหมือนมึงกับหลินไง
ถึงจะเลิกกันไปแล้ว แต่หลินก็ยังอยู่ในความทรงจำของมึงใช่มั้ยล่ะ”
“เออ รู้แล้วว่าเคยรักไอ้วิน
รักมากกกก”
“นี่ประชดหรอ”
“ได้เวลานอนแล้ว นอนเว้ยนอน”
“ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย
เมื่อกี้พูดไปไม่เข้าหูเลยใช่ป่ะ”
ลู่หานยังคงบ่น
ผมเลยจับแก้มนิ่มทั้งสองข้างแล้วโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้จนปากผมจ่อกับปากเล็กๆจิ้มลิ้มที่หยุดขยับบ่นชั่วคราว
เพราะถ้าหากลู่หานพูดอีกแม้แต่คำเดียว ปากมันสัมผัสกับปากผมแน่ๆ
ตาโตๆนั้นถลึงมองผมอย่างตกใจ
“บอกแล้วไง ถ้าดื้อกูจูบ”
“...”
“นอนได้แล้ว”
ตากลมสวยกระพริบสองสามครั้ง
มือเล็กทุบอกเปลือยเปล่าของผมพร้อมกับผลักออกอย่างแรงจนร่างของผมหงายหลังตกเตียงดังตึง อ้าว
จะเล่น
ผมปีนขึ้นเตียงอย่างรวดเร็วแล้วดึงผ้าห่มออกจากหัวของไอ้ลู่ที่ทำทีเป็นหลับหนี
ง่วงไวจังเนาะ เมื่อกี้ยังผลักกันจนเอวแทบเคล็ด มือแกร่งจัดการจั๊กจี๋ที่เอวคนช่างกวน ลู่หานสะดุ้งพร้อมกับดิ้นพราดๆอยู่บนผืนเตียงนุ่ม
เสียงหวานหัวเราะพร้อมกับกรีดร้องไปมาบอกให้ผมหยุด
“ไอ้ฮุน! พอได้แล้ว ไม่ไหวแล้ว”
“แค่นี้ก็จะยอมแล้วหรอ”
“ยอมแล้ว เหนื่อย”
“หอมแก้มก่อนถึงจะหยุด”
ลู่หานยืดตัวขึ้นมาหอมแก้มผมทันที
ผมยิ้มและยอมหยุดตามสัญญา ก่อนจะโน้มตัวลงไปฝังจมูกบนแก้มเนียนของมันดังฟอด ใบหน้าหวานยิ้มเขินๆก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง
ในขณะที่ผมยังคงนั่งยิ้มไม่หุบ พร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาจมูกเขินๆ
ทำไมแม่งโคตรรู้สึกดีเลยวะ.. ดีกว่าการมีเซ็กซ์กันก่อนนอนซะอีก
บางครั้งมันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดกับหลินเหมือนกันนะที่ให้ความสุขกับเขาได้เพียงแค่นั้น เพราะตอนนี้ผมได้รู้จักกับความรักมากกว่าที่เคยรู้จัก
ความสุขทางกายกับทางใจมันแตกต่างกันมากจริงๆ..
ความสุขทางกายกับทางใจมันแตกต่างกันมากจริงๆ..
เช้าวันต่อมา
เราสองคนก็พบกับกระดาษเอสี่หนึ่งแผ่นที่ถูกสอดเข้ามาใต้ช่องเล็กๆของประตูห้อง มีตัวหนังสือถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆ
แต่เสือกอ่านแล้วหวัดจะแดก
‘ถ้าจะมีอะไรกัน
คราวหลังเลื่อนหัวเตียงออกจากผนังด้วย กูนอนไม่หลับครับ olo’
ลู่หานอ้าปากค้าง แก้มกลมแดงเถือกไปจนถึงใบหู
ในขณะที่ผมยืนขำในลำคอด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่ม
สงสัยจะเป็นตอนที่ผมจั๊กจี๋มันแล้วมันก็ดันดิ้นพราดๆชนนู่นนี่จนเตียงสั่นไปถึงห้องข้างๆเลย
“ขำไร มีไรน่าขำ”
ผมเบ้ปากไม่รู้ไม่ชี้
“เป็นเพราะมึงคนเดียวเลย!”
อะไรฟะ จูบยังไม่ได้จูบเลย แม่งเขียนเกินจริงอ่ะ
.
.
.
เป็นเพราะเท้าลู่หานเจ็บกลุ่มของเราก็เลยลดละเลิกจากมีเรื่องเหล้าเป็นอาทิตย์(ถือว่านาน)
ความสัมพันธ์ของผมกับลู่หานเพื่อนๆแม่งก็รู้แหละ ปิดอะไรพวกมันได้ล่ะ ก็ผมเล่นตามดูแลไปรับไปส่งมันตลอดตอนที่มันเจ็บเท้า
ส่งในที่นี้คือส่งถึงหน้าห้องเรียนและหน้าห้องนอน แถมงานของไอ้พีคที่ผมกับลู่หานไปถ่ายกันวันนั้นดันได้เอบวก
รูปผลงานถูกติดโชว์ที่บอร์ดใหญ่เด่นหราเลย ไม่รู้ก็ควายครับ
จนกระทั่งเท้าลู่หานหายเจ็บและเดินได้เป็นปกติผมถึงได้เลิกกิจวัตรตามดูแลแบบใกล้ชิด แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงไปรับไปส่งอยู่เกือบทุกวัน เราต่างให้อิสระต่อกันและกันเสมอ
ผมไม่ได้ตามหึงหวงมาก ลู่หานเองก็เช่นกัน แต่มีครั้งหนึ่งที่ผมจำได้ขึ้นใจเลย ลู่หานแอบมาเห็นไลน์จากผู้หญิงที่ส่งมาหาผม(ผมไม่ได้ให้
ไปเอามาจากไหนกันก็ไม่รู้) ลู่หานงอนผมเป็นชั่วโมงเลย เราคุยกันนะว่าอะไรเป็นอะไร
ผมอธิบายว่าผมไม่รู้ ไม่ได้ให้ จะเอาเวลาไหนไปให้ก็อยู่ด้วยกันตลอด ลู่หานเองก็ฟังและเข้าใจนะ แต่มันเสือกอารมณ์ขึ้นโกรธไม่หายซะที หนึ่งชั่วโมงที่มันงอนผมผมเอาแต่ยิ้มแล้วก็ลูบหัวมันเล่น ผมรู้สึกว่าแม่งโคตรน่ารักอ่ะ ทั้งน่ารักทั้งน่าขำ
“ใจลอยอะไรครับนักศึกษา
เส้นเบี้ยวลงแม่น้ำแล้ว”
“โอ๊ย! ผมเจ็บนะจารรรรรรรย์”
ปลายดินสอEEของอาจารย์เคาะหัวผมดังป๊อก ไอ้เพื่อนข้างๆผมหลุดขำคิก
“รีบทำรีบเสร็จเว้ย จะได้รีบไปหาคนที่ใจมึงลอยไปหาเค้าไง”
“รู้ดี”
ขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่มครึ่ง
ผมกับเพื่อนในเซคยี่สิบกว่าคนกำลังนั่งร่างแบบอยู่ในห้องไม่ไปไหนตั้งแต่บ่าย
เพราะงานไม่เสร็จ พวกเราแม่งก็ดื้อไม่ยอมไปไหน อาจารย์จึงจำเป็นต้องอยู่เฝ้าจนกว่านักศึกษาจะกลับกันหมด
โทรศัพท์ผมสั่นแล้วสั่นอีก ทั้งไลน์
ข้อความ และสายเรียกเข้า
แต่ผมก็คว้ามือไปรับไม่ได้เพราะมัวแต่ปั่นงานจนหน้ามืดอยู่ ก็พวกแพนนั่นแหละที่โทรมาตามเพราะวันนี้เรานัดกันไปมีเรื่องเหล้าหลังจากที่ห่างหายกันไปอาทิตย์กว่าๆ
เวลาป่านนี้แล้วพวกนั้นคงไปรวมตัวกันที่ร้านแล้วมั้ง..
มีเรื่องเหล้า
“ไอ้ฮุนไม่รับว่ะ สงสัยปั่นงานอยู่”
แพนบอกพร้อมกับวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ “สั่งอะไรกินก่อนเลยดีกว่า
ไม่ต้องรอมันหรอก เสร็จแล้วเดี๋ยวก็คงตามมาอ่ะแหละ เนอะไอ้ลู่”
“อะไร ทำไมต้องมาเนอะกูด้วยเล่า”
“จ้องโทรศัพท์จนตาจะพรุนอยู่แล้ว รู้แล้วค่าว่าอยากเจอมากกก”
“คิดถึงเซฮุนจังเลยยย ฮือๆ”
“หุบปากทั้งคู่เลย ไหนว่าจะสั่งอะไรมากินไง”
ผมเปิดเมนูทำทีเป็นสนใจตัวหนังสือในเล่มมากๆเพื่อหลบสายตาล้อเลียนของพวกมัน
เวลาที่ไอ้ฮุนอยู่มันพอจะห้ามปรามได้บ้าง แต่พอผมอยู่คนเดียวทีไรโดนเละทุกทีเลย
เราสั่งอาหารและสั่งเหล้ากันไปพอหอมปากหอมคอ
นั่งฟังเพลงเม้าท์แตกนินทาคนอื่นไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งผมยกนาฬิกาข้อมือดูอีกทีก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว พวกเราปั่นงานจนลืมกินข้าวลืมเวลานอนเป็นปกติ
แต่ไอ้ฮุนไม่น่าหายเงียบไปแบบนี้เลย คนอื่นเค้าเป็นห่วงรู้มั้ย..
“เฮ้ย ไอ้ลู่ เบาๆก่อน
กระดกซะขนาดนี้เดี๋ยวได้เมาหัวทิ่มลงบ่อน้ำข้างๆนี่หรอก”
ผมไม่รู้ตัวว่าผมยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกมากี่แก้วแล้ว
พอแพนทักถึงได้รู้สึกตัว และรู้สึกว่าตัวเองมึนหัวหนักซะแล้วอ่ะ
“ไอ้ฮุนนะไอ้ฮุน โทรศัพท์มีไว้ทับกระดาษรึไง”
มิ้นท์ลูบหัวผม
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็มาเนอะ”
.
.
ห้าทุ่มสี่สิบ..
ร่างเล็กฟุบหัวลงกับโต๊ะ ในขณะที่มนุษย์เพื่อนคนอื่นๆออกไปแด๊นซ์กันสนุกสนาน เครื่องมือสื่อสารสั่นครืดอยู่ภายในกระเป๋าย่ามที่ถูกวางไว้บนเก้าอี้ข้างๆ
ส่งผลให้คนเมาไม่รับไม่รู้อะไรทั้งสิ้นว่ามีคนโทรเข้ามา
ในร้านปิดไฟมืดเกือบสนิท แสงไฟหลากสีฉายวิบวับไปมาบนฟลอร์เต้น
ชายหนุ่มคนหนึ่งถือแก้วเครื่องดื่มสองแก้วตรงเข้ามาหาคนน่ารักที่ฟุบหัวเมาไม่เป็นท่า
พอลู่หานได้ยืนเสียงเก้าอี้ครูดกับพื้นก็รีบกระดกหัวขึ้นมาด้วยความหวัง แต่แววตาแห่งความหวังนั้นกลับแปลเปลี่ยนเป็นความตกใจเมื่อพบว่าเขาคือแฟนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายอาทิตย์
“วิน..”
“นึกว่าจะลืมกันซะแล้ว
เพื่อนไปไหนหมดล่ะ”
แก้วน้ำสีอำพันแก้วหนึ่งถูกยัดใส่มือเล็ก
ชายหนุ่มยื่นแก้วของตนไปชนกับแก้วของลู่หาน ราวกับจะบังคับให้ดื่มกลายๆ..
“เต้นนนอยู่ตรงนู้นอ่ะ”
เสียงหวานยานคางและพูดแทบไม่เป็นภาษา
ทำให้เขารู้ว่าคนตรงหน้านี้เมามากแล้ว
“งั้นเดี๋ยววินนั่งดื่มเป็นเพื่อนนะ”
“...”
“ดื่มสิ”
“อึก”
คนตัวเล็กดูเหมือนจะประคองสติไม่ค่อยอยู่แล้วด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปก่อนหน้านี้ เขาจึงจับแก้วจ่อริมฝีปากจิ้มลิ้มแล้วพยายามเอาเหล้ารสชาติแปร่งกรอกปาก
ร่างบางไอค่อกแค่กจนตัวโยน เหล้าบ้าอะไรทำไมถึงได้ทำให้มึนหัวหนักแล้วก็ร้อนวูบวาบไปทั้งตัวขนาดนี้..
ชายหนุ่มยิ้มมุมปากเมื่อลู่หานเซลงมาซบอกของเขาพร้อมกับกายบางที่เริ่มสั่นเล็กน้อยและมีเหงื่อซึมตามไรผม
เสียงทุ้มเข้มที่เคยอบอุ่นเสมอกระซิบข้างหูแผ่วเบา
“เดี๋ยววินไปส่งที่ห้องนะ”
TBC.
#มีเรื่องเหล้า
ชอบมากมาย รอคอยตอนหน้าแทบไม่ไหว
ตอบลบวินนี่ร้ายดีน่ะ ชอบๆๆ
ชอบความเคมีเข้ากันของพระนาย
โซดาไม่ต้อง ขอไรท์ชงเข้มเข้ม
ชอบมากมาย รอคอยตอนหน้าแทบไม่ไหว
ตอบลบวินนี่ร้ายดีน่ะ ชอบๆๆ
ชอบความเคมีเข้ากันของพระนาย
โซดาไม่ต้อง ขอไรท์ชงเข้มเข้ม