วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

ON THE ROCK - มีเรื่องเหล้า #3

ON THE ROCK #3
- มีเรื่องเหล้า -
{Sehun x Luhan}


'เราชอบกันจริงๆ หรือเราแค่เหงาวะ'




            วินไม่เคยต่อยใคร
            และเซฮุนก็ไม่เคยใจเย็นขนาดนี้มาก่อน

            เซฮุนเดินมาส่งผมถึงหน้าหอ ตลอดทางเราไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำเดียว มาถึงหน้าหอผมถึงได้รู้สึกตัวว่าเรายังไม่ได้ปล่อยมือจากกันเลย มันเองก็คงพึ่งจะรู้ตัวเหมือนกันเราถึงได้ค่อยๆคลายมือออกจากกัน
            “มึงโอเคนะ”
            ผมพยักหน้า แต่เซฮุนคงจะรู้ว่าผมไม่ได้โอเคเท่าไหร่หรอก

            “กูขอถามอะไรมึงอย่างดิ” ผมพูดกับเซฮุน
            “ว่า”
            “ทำไมมึงถึงไม่ต่อยวินคืน”
            มันหัวเราะในลำคอขำๆ
            “ต่อยแล้วได้อะไรวะ ทุกอย่างจะยิ่งแย่ลงรึเปล่า”
            “...”
            “อีกอย่าง กูไม่แน่ใจว่ามึงจะเสียใจมั้ยถ้ากูต่อยไอ้วิน ถ้าแม่งล้ม กูก็ไม่แน่ใจว่ามึงจะรีบวิ่งลนลานไปดูมันหรือเปล่า ถ้าแม่งสำออย กูก็ไม่แน่ใจว่ามึงจะใจอ่อนมั้ย ทั้งๆที่มึงก้าวเดินออกมาไกลขนาดนี้แล้ว”
            ผมก้มหน้าลง ซ่อนน้ำตาที่มันกำลังไหลลงมาอีกครา
            “มึงแม่ง..”
            “กูทำไม”
            “เชี่ย”
            “ถ้าเชี่ยคือคำชม กูจะรับไว้แล้วกัน”
            ในที่สุดมันก็ทำให้ผมหัวเราะออกมาทั้งน้ำตาจนได้ มือใหญ่ๆของมันลูบหัวผมไปมาราวกับจะปลอบโยนว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างมันจะดีขึ้น

            แผลตรงมุมปากของเซฮุนเริ่มมีเลือดซึม วินหมัดหนักใช้ได้เลยแฮะ ผมไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าเขาก็ต่อยคนอื่นเป็นด้วย
            “ขึ้นไปทำแผลห้องกูก่อนนะแล้วค่อยกลับ”
            “ชวนกูขึ้นห้องได้ไง ใจง่าย”
            “จะไปไม่ไป”
            “โทษที กูใจง่ายว่ะ”
            “ลีลา”
            มือเล็กปาดน้ำตาออกจากใบหน้าก่อนจะหมุนตัวเดินไปทาบคีย์การ์ดเปิดประตูหอพัก เราสองคนเดินขึ้นห้องด้วยกันตามที่ได้บอกไว้กับวิน แต่ไม่ได้ไปทำกิจกรรมอย่างว่าตามที่เขาเข้าใจซะหน่อย

            “ที่มึงบอกว่าจะทำให้กูลืมวิน พูดจริงหรือพูดเล่นอ่ะ”
            “พูดจริงดิ”
            “แล้วทำยังไง”
            “เอาไม้มาตีหัวมึงให้ความจำเสื่อม”
            “ไอ้หัวถ่าน!
            ป๊าบ!

.
.
.
.



            หนึ่งอาทิตย์ต่อมา
            วงจรชีวิตของเด็กสถาปัตย์ยังคงหมุนวนไปอยู่อย่างนั้น ปั่นงาน ส่งงาน แดกเหล้า วันนี้เข็มของวงล้อชี้ไปที่ปั่นงาน พวกเราทั้งแก๊งจึงนัดรวมตัวกันที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งเพื่อปักหลักปั่นโปรเจกต์ของใครของมัน ต่างคนต่างนั่งทำงานกันเงียบๆและเริ่มสร้างกระจกกั้นส่วนตัว ใครชอบฟังเพลงก็ยัดหูฟังไป

            เส้นผมสีน้ำตาลปลิวไปตามทิศทางลม ดวงหน้าจิ้มลิ้มกำลังยิ้มอย่างผ่อนคลายที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก ถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อย(ชิบหาย)ตอนไฟลนก้น แต่ก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้ครีเอตอะไรใหม่ๆขึ้นมาบนโลกใบนี้
            ผมพึ่งไปเปลี่ยนสีผมเป็นสีน้ำตาลเมื่อสองวันที่แล้ว ไอ้ฮุนเป็นคนเลือกสีให้ด้วยนะ มันบอกว่าไม่เห็นผมทำผมสีเข้มมานานแล้วก็เลยอยากเห็น พอทำออกมาเสร็จ คำแรกที่มันบอกคือเหมือนเด็กมัธยม นั่นคือคำชมเดียวที่ผมได้ยิน หลังจากนั้นมันก็พูดกวนตีนไปเรื่อยตามประสา
            ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาผมใช้เวลาอยู่กับเพื่อนมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังมีงานล้นมือเต็มไปหมดทำให้ผมทุ่มเวลาส่วนใหญ่ไปกับการปั่นงานและเฮฮาอยู่กับเพื่อน ถึงแม้ว่าจะไม่มีวินคอยมารับไปกินข้าวเย็นด้วยกันแล้ว แต่ผมก็ยังมีไอ้ฮุนที่สามารถลากมันไปกินข้าวด้วยกันได้ตลอดเวลาเพราะหอเราอยู่ติดกันและเราก็ไม่มีใครข้างกายเหมือนกันจากที่เคยมี เรียกว่าอยู่ในช่วงเวลาปรับตัวล่ะมั้ง.. จะว่าไปผมกินข้าวเย็นกับมันทุกวันเลยแฮะช่วงนี้ เราเหงาเหมือนกัน เลิกกับแฟนเหมือนกัน กินข้าวด้วยกันก็โอเคดีนะ..

            “หิวว่ะ”
            อยู่ๆแพนก็พูดขึ้น ทำให้พวกเราต่างวางอุปกรณ์วาดรูปลงบนเสื่ออย่างว่องไว
            “กินไรกันดี”
            “อยากกินไก่ทอดอ่ะ”
            “ลากลงไปกินในน้ำเลยใช่มะ”
            “งั้นมึงก็กินข้างกูเลยถูกมะ”
            มิ้นท์กับแพนเถียงกันทำเอาเราทั้งกลุ่มหัวเราะลั่น เวลาที่เราอยู่ด้วยกันครบองค์ประชุมมันโคตรสนุก ตลก และมีความสุขสุดๆไปเลย
            “เดี๋ยวกูออกไปซื้อให้ ร้านอยู่ข้างหน้าสวนนี่เอง” เซฮุนรับอาสา
            “เลี้ยงป่ะ”
            “ฝันเอาเถอะมึง พ่อกูไม่ได้เป็นเจ้าของบ่อน้ำมันนะ”
            “หือ ทีตอนไปแดกเหล้ากับไอ้ลู่ทำไมมึงถึงเลี้ยงมันได้อ่ะ”
            “รู้ได้ไง”
            “อีแพนบอก แถมยังบอกด้วยนะว่ามึงดูแลไอ้ลู่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ถอดรองเท้าให้ หาที่อ้วกให้ แถมยังอยู่เฝ้าไม่ยอมกลับห้องของตัวเองอีก”
            “...”
            ผมหันไปมองเซฮุนที่นิ่งเงียบไป วันนั้นมันคอยดูแลผมขนาดนั้นจริงๆหรอ..

            “ก็ไอ้ลู่มันเมายังกะหมา เป็นพวกมึงจะปล่อยให้มันนอนเมาอยู่หน้าห้องหรอวะ สงสารคนเดินผ่านไปมา แล้วที่เลี้ยงก็เพราะกินกันแค่สองคน แพนไม่กิน กินกันน้อยก็จ่ายน้อย แต่ไก่ทอดเนี่ยแม่งกินตั้งห้าคน กินเยอะก็ต้องจ่ายเยอะถูกมะ กูเดินออกไปซื้อให้ยังจะให้กูเลี้ยงอีก วู้”
            “ไอ้ขี้งก!
            “เออกูงก”
            “กูไปด้วย ช่วยหิ้ว” ผมลุกขึ้นจากเสื่อแล้วใส่รองเท้า มันไปคนเดียวคงถือกลับมาไม่หมดหรอก เราสองคนออกเดินไปยังหน้าสวนสาธารณะเพื่อซื้อไก่ทอดมาให้เพื่อนผู้หิวโหยกินกัน ความจริงผมก็เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวมันคืนแล้วนะ ถึงจะเทียบไม่ได้กับราคาค่าเหล้า แต่ไอ้ฮุนก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย ถือว่าหายกันแล่ว

           
            “สองคนนี้มันยังไงๆนะ”
            “ตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋”
            “มึงก็คิดเหมือนกูใช่มั้ยแพน แต่ก่อนพวกมันต่างคนต่างมีแฟนก็พากันติดแต่แฟน พอโสดกลับตัวติดกันซะงั้นอ่ะ”
            สามสาวนั่งกอดอกและมองแผ่นหลังของสองคนนั้นที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆจนลับตา รู้ดีว่าคนโสดมันก็ต้องเหงาเป็นธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะรู้ตัวมั้ยว่าสิ่งที่ทำอยู่น่ะมันกำลังจะมากเกินปกติของคนเหงาไปแล้ว..
.
.



            มีเรื่องเหล้า
            ส่งโปรเจกต์ผ่าน ก็ต้องฉลองกันหน่อยสิครับคุณ

            “นั่งๆๆๆ”
            ผมถูกแพนดึงแขนให้นั่งลงบนเก้าอี้หัวกลมตัวหนึ่ง ไอ้ลู่ที่มาด้วยกันก็นั่งฝั่งตรงข้ามแล้ววางกระเป๋าย่ามไว้บนตัก
            “คนอื่นล่ะ”
            “ไปนั่งกับเพื่อนชมรมที่โต๊ะนู้นอ่ะ เดี๋ยวมา”
            “ชมรมพัฒนาจิตอ่ะนะ?”
            “เออ”
            “เชี่ย!
            ไอ้ลู่ร้องเสียงหลง สิ่งที่น่าตกใจกว่าการที่มิ้นท์กับดาอึนเข้าชมรมพัฒนาจิต ก็คือชมรมพัฒนาจิตมาร้านเหล้านี่แหละครับ โลกหมุนเร็วเกินไปหรือกูใช้ชีวิตแบบเดินจงกลม ตามไม่ทันจริงๆว่ะ
            “กินไรกันมายัง”
            “ยังอ่ะ สั่งไรไปแล้วบ้าง”
            “เยอะเลย เหมือนกูจะมีเซนส์ว่าพวกมึงยังไม่ได้กินอะไรกันมา”
            “เซนส์อะไรของมึง”
            “ก็ไม่รู้สินะ”
            แพนเบ้ปาก โคตรน่าหมั่นไส้อ่ะจริงๆ “กูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
            “อือ”
            ผมตอบรับ แพนลุกไปเข้าห้องน้ำแล้วเหลือแค่ผมกับลู่หานที่นั่งจิ้มโทรศัพท์อยู่ด้วยกันสองคน ผมควักโทรศัพท์ออกมาดูเมื่อได้ยินเสียงไลน์เข้า ก็พบว่าเป็นไอ้ลู่ที่ส่งเกมมาให้กดเพิ่มหัวใจให้
            “ว่างนักหรอสัด”
            “ส่งโปรเจกต์เสร็จแล้วก็ว่างดิ กดให้กูหน่อย”
            “พอเลย ก่อนมายังเล่นไม่พออีกหรือไง”
            “เล่นแพ้กูอย่าทำโวยวายดิ”
            ใบหน้าสวยทำกวนใส่ผม ก่อนจะมามีเรื่องเหล้าเราสองคนนั่งเล่นเกมอยู่ด้วยกันเกือบทั้งวัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะนั่นแหละ แต่ตาสุดท้ายผมดันแพ้มันไง ข่มใหญ่เลย
            “กดดดดด เร็วๆ!
            “สั่งเป็นแม่กูเลย”
            “จะกดไม่กด”
            “ถ้าไม่กดแล้วจะทำไม” ผมแกล้งถาม
            “กลัวแพ้อีกอ่ะดี้”
            “ปัญญาอ่อน”
            แจ้งเตือนเฟสบุ๊คเด้งเข้ามาพอดีทำให้ผมหยุดเถียงกับมันชั่วครู่
            อ้อ ผมว่าผมรู้แล้วล่ะว่าทำไมไอ้แพนถึงได้เบะปากคว่ำเป็นพาราโบล่าขนาดนั้น ก็เพราะว่าไอ้ลู่แคปเกมที่ผมแพ้มันราบคาบโพสลงเฟสบุ๊คนี่ไงล่ะ

            “วินไม่เคยเล่นเกมกับกูแบบนี้เลยนะ เขาบอกว่าไร้สาระตลอดเลย”
            ผมเงยหน้าขึ้นจากจอไอโฟนเมื่อไอ้ลู่พูดถึงแฟนเก่าขึ้นมา ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ถึงได้ขุดเรื่องเก่าๆกับแฟนเก่าขึ้นมาพูดในตอนที่ยังไม่ได้แตะแอลกอฮอล์เลยสักแอะ แต่แววตาของมันกลับดูไม่เศร้าหมองอย่างที่ผมคาดคิดนะ มันเลิกเสียใจเรื่องวินแล้วหรือไงน่ะ
            “อย่าว่าแต่ไอ้วิน กูก็ว่าเกมแม่งไร้สาระปัญญาอ่อน”
            “แต่มึงก็ยังนั่งเล่นกับกูไง”
            “...”
            “เล่นทั้งวันเลยด้วย ปัญญาอ่อนนะมึงอ่ะ”
            ดวงตากลมโตนั้นละจากจอโทรศัพท์แล้วช้อนมองสบตากับผม มันยิ้มจางๆ.. ราวกับจะบอกว่าขอบคุณนะที่ยอมทำอะไรปัญญาอ่อนไปด้วยกัน มันรู้ว่าผมน่ะปากหมาแต่ใจดี มันรู้และเข้าใจผมทุกอย่างถึงได้เอาแต่ใจตัวเองอยู่อย่างนี้ไงล่ะ
            ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงไฟสีส้มจากตะเกียงในร้านเหล้าสลัวๆ หรือว่าเป็นเพราะเพลงหวานๆที่กำลังบรรเลงอยู่ในตอนนี้ ทุกอย่างมันทำให้ผมไม่สามารถละสายตาไปจากรอยยิ้มหวานๆของไอ้ลู่ได้เลย
            เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกได้ชัดเจนว่า.. หัวใจของผมกำลังเต้นเป็นจังหวะถี่และดังก้องอยู่ภายในอกข้างซ้าย..
           
            ลู่หานกระพริบตาถี่ๆก่อนจะคว้าแก้วเหล้ามากระดกดื่มรวดเดียวจนหมด ผมไม่รู้จะทำยังไงก็เลยลุกเดินไปที่โต๊ะของชมรมพัฒนาจิต ทุกคนเฮกันใหญ่เมื่อผม(ที่หน้าตาดี)เดินเข้าไปแจมด้วย มิ้นท์ยื่นแก้วเหล้าให้ผม ดูจากสีก็รู้ว่าชงเข้มชะมัด แต่ทุกคนยื่นแก้วมาขอชนผมคงปฏิเสธไม่ได้แล้ว
            เสียงในร้านเหล้าแม่งโคตรดังนะ แต่ผมไม่ได้ยินเสียงเหี้ยอะไรเลย
            นอกจากเสียงหัวใจของตัวเองเมื่อกี้น่ะ
           
.
.
            ไอ้ลู่เมาปลิ้นอีกตามเคย..
            แต่วันนี้ผมเองก็เมาหนักเหมือนกัน ชมรมพัฒนาจิตผีบ้าอะไรแดกเหล้ากันหนักชิบ ผมนั่งได้ครึ่งชั่วโมงก็ต้องขอปลีกตัวออกมาเพราะเริ่มรู้สึกว่าอีกแก้วเดียวกูหมอบแน่ วันนี้สามสาวนัดกันไปนอนหอมิ้นท์ ผมก็เลยจำเป็นต้องหิ้วไอ้ลู่กลับหอมาด้วยกันโดยไม่มีใครมาช่วยได้เลย
            ลู่หานครางงุ้งงิ้งอะไรก็ไม่รู้อยู่บนหลังของผม อย่าอ้วกแล้วกันนะเฮ้ย
            “ถึงห้องแล้ว อย่าพึ่งอ้วกนะ”
            “อือ ไม่อ้วกๆ กูแค่มึนนน”
            “กุญแจห้องล่ะ”
            “น่านดิ”
            “เอ้า”
            เมาแล้วชอบลืมนั่นลืมนี่ไปหมด ผมปล่อยมันลงจากหลังให้ยืนกับพื้น ร่างเล็กเซเอาหัวพิงผนังตาปรือๆ ผมก็เลยล้วงหากุญแจในกระเป๋ากางเกงของมันที่ผมเคยหาเจอ มันเอาไว้ที่เดิมจริงๆด้วย พอได้กุญแจผมก็ช้อนตัวอุ้มมันเข้าห้องมืดๆที่ยังไม่ได้เปิดไฟเปิดห่าอะไรเลย
            ผมวางลู่หานลงบนเตียงก่อนจะลุกขึ้น หมุนตัวหันหลัง หวังจะเดินไปเปิดไฟ แต่เสียงและคำพูดของไอ้ลู่ทำเอาผมหยุดชะงักอยู่ข้างเตียง
            “อยากอาบน้ำ..”
            ฟึ่บ!
            เสียงเหมือนเสื้อผ้าถูกโยนลงพื้น ตามด้วยเสียงขยับตัวสวบสาบบนเตียง

            “ซิปกางเกงรูดยากจัง.. อือ” มันครางหงุงหงิงเหมือนขัดใจ
            “มึงห้ามถอดเสื้อผ้านะเว้ย กูยังอยู่ในห้อง”
            “ใครอ่ะ วินหรอ”
            “...”
            “เลิกกันแล้วทำไมยังมาหาเราอ่ะ คิดถึงอ่ะดิ้”
            “...”
            เสียงใสหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงรูดซิปกางเกงและมันก็ถูกโยนลงบนพื้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมถึงต้องหงุดหงิดถึงขนาดนี้ด้วย

            “กูไม่ใช่วิน”
            “ฮึ..?”
            “เลิกคิดถึงแม่งซะทีเหอะว่ะ”

            ผมพูดแค่นั้นแล้วก็เดินตรงออกจากห้องของไอ้ลู่ไปเลย ว่ากันว่าคำพูดที่ออกมาจากปากคนเมามักจะเป็นความจริงจากก้นบึ้งหัวใจ ไม่ใช่ไอ้วินหรอกที่คิดถึงลู่หาน แต่ลู่หานนั่นแหละที่คิดถึงไอ้วิน เพ้อถึงซะขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดผมเป็นไอ้วินขึ้นมาจริงๆทำไมไอ้ลู่ถึงได้ใจกล้าถอดเสื้อผ้าต่อหน้ามัน ไหนบอกว่าไม่เคยได้กันไงวะ

            เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาถึงหน้าหอ ก็มีโทรศัพท์เข้าจากเบอร์เพื่อนของผมที่อยู่ภาคฟิล์ม ผมพยายามสงบสติอารมณ์แล้วรับสายด้วยเสียงปกติ
            “มีไรโทรมาซะดึก”
            “มีงานให้ช่วยว่ะ อยู่กับลู่หานรึเปล่า บอกมันด้วยว่ากูมีงานด่วนให้ช่วย พรุ่งนี้สิบโมงเจอกันสตูฯคณะ”
            “เดี๋ยวๆ งานอะไร”
            “ถ่ายภาพนิ่ง แป๊บเดียวไม่ถึงชั่วโมง กูปั่นงานจนหัวร้อนแล้วเนี่ย หาคนอื่นไม่ทันแล้ว ช่วยกูหน่อยนะเดี๋ยวกูเลี้ยงเหล้า”
            “เออๆ กูน่ะช่วยได้ แต่ไอ้ลู่ไม่รู้ว่าจะยังไง มึงโทรไปบอกมันเองแล้วกัน ตอนนี้นอนเมาไม่รู้เรื่องอยู่หอกูพึ่งไปส่งมันมาเนี่ย”
            “อ่าฮะเดี๋ยวกูจัดการเอง งั้นพรุ่งนี้สิบโมงมึงมาที่สตูฯเลยแล้วกัน”
            “อือ โอเค”
            “ขอบใจเพื่อน”
           
            เพื่อนของผมชื่อไอ้พีค หนวดๆเซอร์ๆ มันวางสายไปแล้วพร้อมกับฝากงานที่ต้องตื่นเช้าไว้ให้ผม หวังว่าพรุ่งนี้ไอ้ลู่มันจะตื่นมารับโทรศัพท์ของมึงนะไอ้พีค
           
.
.
.


            สิบโมงเช้า
            ร่างบางเดินมึนๆเซๆลงจากวินมอไซ ตอนเจ็ดโมงเช้ามีสายเข้ารัวๆจากไอ้พีคบอกให้มาช่วยงานมัน ผมก็เลยจำเป็นต้องงัดตัวเองขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำและมาที่สตูฯคณะให้ทันสิบโมง แอบตกใจสภาพของตัวเองนิดหน่อยเพราะทั้งเนื้อทั้งตัวผมเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเท่านั้น เสื้อผ้าตัวอื่นๆหล่นกองอยู่ข้างเตียง ให้ตายสิ.. ผมจำไม่ได้ด้วยว่าใครมาส่งผมเป็นคนสุดท้ายและคนนั้นจะเห็นผมในสภาพเกือบเปลือยหรือเปล่า
            ผมเดินขึ้นบันไดทางเข้าตึกก็เจอกับเซฮุนที่ยืนกอดอกพิงผนังอยู่ มันปิดปากหาวเหมือนตื่นครึ่งไม่ตื่นครึ่ง คนตัวเล็กจึงเดินเข้าไปหาเพื่อนสนิทด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
            “ไอ้ฮุน มึงมาทำไรอ่ะ”
            “ซักผ้ามั้ง”
            “ไหนแฟ้บ”
            “อยู่บนหัวมึงมั้ง”
            มันมองหน้าผมนิ่งๆ ก่อนจะผินหน้ามองออกไปทางอื่น ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรต่อ พีคก็เดินออกมาจากตึกพอดี
            “หนวดน่ะโกนมั่งนะไอ้พีค เดี๋ยวสาวคัน” ไอ้ฮุนทักทาย
            “สาวที่ไหนล่ะ กูจะแต่งงานกับขาตั้งกล้องอยู่แล้ว งานยุ่งชิบหาย นี่พวกมึงกินข้าวกันมายัง”
            “ยังอ่ะ ตื่นแล้วก็รีบออกมาเลย”
            “เหมือนกัน” ผมบอก
            “อ่า กูขอโทษนะที่นัดเช้าไปหน่อย เดี๋ยวเสร็จงานจะพาไปเลี้ยงข้าวละกันนะ”
            “ไม่เป็นไรมึงงานยุ่งไม่ใช่หรอ พวกกูพึ่งส่งโปรเจกต์เสร็จช่วงนี้ยังว่างๆอยู่ หาข้าวแดกเองได้”
            “โอเคๆ ขอบใจมากกกกกกที่มาช่วยกูวันนี้อ่ะ มา ตามกูเข้ามาเลย”
            พีคกวักมือให้เราสองคนตามมันเข้าไปข้างในสตูฯพร้อมกับพูดอธิบายงานวันนี้คร่าวๆให้ฟัง เป็นการถ่ายแบบคู่ ภาพสี เน้นอารมณ์เน้นฟีล อะไรเทือกๆนี้แหละ
           
            เซฮุนเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำก่อน ผมก็เลยช่วยพีคเซ็ตฉากเซ็ตกล้องพร้อมกับคุยเล่นกันไปด้วย
            “เออ ทำไมถึงเลือกกูกับไอ้ฮุนอ่ะ คนอื่นหน้าตาดีกว่านี้มีตั้งเยอะแยะ”
            “พวกมึงดูเหมาะสมกันดี อ่า หมายถึงทำให้ภาพมันดูลงตัว”
            “อ๋อ..”
            “ลืมบอกไปเลย ถ่ายงานครั้งนี้กูขอสองอย่างได้มั้ยไอ้ลู่”
            “อะไร”

            ร่างเล็กฟังสิ่งที่เพื่อนขอด้วยใบหน้าเหวอกินไปเรียบร้อยแล้ว..
.
.


            คนตัวสูงรูดผ้าม่านในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าออกก็เกือบสะดุ้งเมื่อเห็นเพื่อนหน้าสวยยืนทำตาปริบๆอยู่ข้างหน้าห้อง ดวงตากลมโตมองเซฮุนในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวติดกระดุมหมิ่นเหม่และสวมกางเกงสแล็กสีดำ เวลามันแต่งหล่อน่ะดูเป็นผู้เป็นคนและเหมือนนายแบบเลยล่ะ เซฮุนทำท่าจะเดินออกไปแต่ก็ถูกมือเล็กดึงแขนเอาไว้เสียก่อน
            “อยู่เป็นเพื่อนก่อนดิ กูกลัวผี”
            “กูเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งนานไม่เห็นมี”
            “ถ้าตอนกูเปลี่ยนมันมีล่ะ”
            มันถอนหายใจ
            “นะๆๆ แป๊บเดียว”
            “...”
            “น้า”
            “อือๆ ให้รอตรงไหน”
            “เข้ามาในห้องด้วยกันเลย”
            ผมดึงมันเข้ามาในห้องแต่งตัวด้วยกันพร้อมกับรูดผ้าม่านปิดฉับ มันมองหน้าผมนิ่งค้างตาปริบๆ
            “หันหลังไปสิ”
            เสียงทุ้มกระแอมก่อนจะยืนหันหลังให้ผมเปลี่ยนเสื้อผ้า จริงๆผมก็อายนะที่ต้องมายืนแก้ผ้าในห้องแคบๆกับผู้ชายด้วยกันน่ะ เสื้อผ้าของผมคล้ายของเซฮุนเป๊ะ แต่เสื้อจะตัวโคร่งกว่าหน่อย

            “เสร็จแล้ว”
            มือแกร่งเปิดผ้าม่านและจะพุ่งตัวออกไปทันที แต่ผมก็ดึงปลายเสื้อยื้อมันเอาไว้ก่อน “เดี๋ยวก่อน”
            “อะไรอีก”
            “คือ.. งานนี้ไอ้พีคมันขอสองอย่าง”
            ใบหน้าหล่อนั้นหันมามองหน้าผมเมื่อได้ยินเสียงกระอักกระอ่วนใจของผม ผมก้มหน้าลงพร้อมกับหลับตาปี๋
            “มันอยากได้รอยคิสมาร์ก..”
            “...”
            “แม่งเป็นคอนเซปต์อ่ะ กูปฏิเสธไม่ได้ คือกูก็เรียนถาปัตย์ถึงได้เข้าใจมันไงว่างานที่ดีย่อมต้องไม่ผิดคอนเซปต์ อีกอย่างงานมันเร่งจนหัวร้อนแล้ว กูเข้าใจก็เลยไม่อยากเรื่องมาก มึงก็เข้าใจมันใช่ป่ะ”
            ปึก!
            ผมพูดยังไม่ทันจบประโยคดี มือแกร่งก็จับแขนบอบบางแล้วเหวี่ยงจนแผ่นหลังกระแทกผนังห้องแต่งตัว ตัวสูงๆของเซฮุนตามมาคร่อมตัวผมเอาไว้ ผมมองเซฮุนอย่างตื่นตระหนก ส่วนสายตาของเซฮุนนั้นดูเย็นชา แต่ตอนที่ผมมองเข้าไปในดวงตาของเขากลับรู้สึกวูบหวามแปลกๆ.. เสี้ยววินาทีเขาก็โน้มริมฝีปากลงมาประทับที่ซอกคอของผม ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากเหมือนผมกำลังดูละครหลายๆฉากในเวลาเดียวกัน ทั้งตื่นเต้น วูบไหว และไม่ทันตั้งตัว
            ริมฝีปากร้อนบดลงบนผิวเนื้อของผมพร้อมกับใช้ฟันขบเบาๆให้เกิดร่องรอยสีแดง ผมเม้มปากเพื่อกลั้นเสียงของตัวเองเอาไว้ รู้สึกโหวงๆในช่องท้องและหัวใจเต้นถี่ระรัว.. เซฮุนเลื่อนริมฝีปากไปทำจุดอื่นๆอีกสองสามรอยก็ละออกมาในที่สุด
            “ไอ้พีคมันอยากได้อะไรอีก”
            “ฮะ.. อ๋อ ลิปสติกเลอะ”
            มันถอนหายใจออกมาแรงๆ
            “ทำยังไง”
            “เดี๋ยวกูทาลิปสติกแป๊บนึง ไอ้พีคพึ่งให้มาเมื่อกี้”
            ร่างเล็กก้มลงหยิบลิปสติกสีพีชออกมาจากกระเป๋าย่ามก่อนจะเปิดฝาออกทำท่าจะละเลงลงบนริมฝีปากเล็กๆจิ้มลิ้ม แต่เซฮุนกลับแย่งลิปสติกแท่งนั้นไปแล้วใช้นิ้วโป้งถูเนื้อลิปก่อนจะทามันลงไปบนริมฝีปากของลู่หาน ทาเลอะๆเหมือนพึ่งโดนทำอย่างว่ามานั่นแหละ
            คนตัวเล็กยืนนิ่งให้อีกคนใช้นิ้วโป้งแตะริมฝีปากทาลิปสติกให้ ถึงมันจะทำให้รุนแรงไปหน่อยแต่ก็คงได้งานแบบที่พีคต้องการล่ะมั้ง
            “กูต้องมีไอ้รอยลิปเปื้อนนี่ด้วยมั้ย”
            “อื้อ” ผมพยักหน้าตอบรับ
            เซฮุนถอนหายใจเป็นรอบที่สาม ก่อนจะใช้นิ้วโป้งที่ติดสีลิปสติกจากการทาให้ผมไปละเลงที่ปากของตัวเองอย่างฮาร์ดคอร์ แต่ทำเสร็จแล้วมันก็ดูเซ็กซี่ดีนะ
            เราสองคนมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนที่เสียงทุ้มจะกระซิบข้างหูผม ทำให้บรรยากาศมันกระอักกระอ่วนเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

          “ไอ้วินนี่แม่งโคตรน่าอิจฉาเลย”
           
.
.

            “พวกมึงแม่งเป็นอะไรกันวะ บอกให้กอดคอก็เหมือนกอดขี้ บอกให้ซบก็เหมือนกูสั่งให้ซบขี้”
            “...”
            พีคกดดูรูปในกล้องพร้อมกับบ่นออกมาอย่างหัวเสีย ในขณะที่ผมกับเซฮุนนั่งขัดสมาธิอยู่ในฉากขาวมองหน้ากันอย่างคนมีอะไรในใจทั้งคู่ มองตากันแล้วก็หลบ มองอีกก็หลบอีกอยู่อย่างนี้.. จะให้มากอดมาซบบ้าอะไรเล่า..

            “งานกูฟีลมันต้องมีว่ะ พวกมึงมีอะไรอยากคุยกันก่อนมั้ย เคลียร์ให้จบเลย กูให้เวลาสิบนาทีเดี๋ยวกูกลับมา”
            งานไม่เดินเพราะคนไม่พร้อมก็ต้องพักก่อน ไอ้หนวดพีคเปิดประตูเดินออกจากห้องไปแล้ว ทิ้งไว้แค่ผมกับไอ้ฮุนที่นั่งอยู่ด้วยกันในห้องสตูฯกว้างๆ ที่พอมีคนออกไปคนนึงห้องก็ยิ่งกว้างขึ้นไปอีก..

            “ตั้งใจทำงานดิวะ” ผมเป็นคนเริ่มพูดทำลายความเงียบก่อน
            “กูพยายามสุดๆแล้ว”
            “แค่กอดกูทำไมต้องพยายามด้วยเล่า เมื่อก่อนเรากอดกันออกจะบ่อย”
            “มึงตัวเกร็งขนาดนั้น กูเลยเกร็งตามดิ”
            “กูเกร็งหรอ”
            “เออ เกร็งทำไมล่ะ”
            “ก็มึง.. พูดแบบนั้นทำไมล่ะ”
            “กูพูดอะไร”
            “ในห้องแต่งตัวอ่ะ”
            “ที่กูบอกว่าอิจฉาไอ้วินน่ะหรอ”
            “อือ”
            “แล้วทำไม”
            “คือ.. กูแม่งเสือกเขิน..”
            “...”
            “เงียบหาพ่อง”
            ไอ้ฮุนปล่อยให้เดดแอร์ ผมก็เลยฟาดมือลงที่ไหล่ของมันดังป๊าบ เสียงทุ้มหลุดหัวเราะออกมาจนได้.. แม่งขี้แกล้ง

            “กูขอถามไรอย่างดิ”
            “ว่า”
            “ตอนกูทำคิสมาร์ก มึงรู้สึกอะไรบ้างมั้ย”
            “มันไม่ทันตั้งตัวอ่ะนะ.. แต่ก็รู้สึก”
            คนหล่ออมยิ้ม “ชอบกูอ่ะดิ”
            “มันเป็นไปได้ด้วยหรอวะ..”
            “...”
            “แม่งเกิดขึ้นตอนไหนก็ไม่รู้ แต่กูก็กำลังสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกัน”
            “อืม.. กูก็ด้วย”
            “เราชอบกันจริงๆ หรือเราแค่เหงาวะ”

            ผมหันไปมองหน้าของเซฮุน โอเค เราพึ่งเลิกกับแฟนทั้งคู่ เราต่างคนต่างเหงาและรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไปจึงโหยหาสิ่งอื่นๆมาเติมเต็ม เราสองคนเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี.. ผมไม่รู้ว่ามันกลายเป็นความรู้สึกดีๆระหว่างเราสองคนเมื่อไหร่ แต่พอรู้ตัว มันก็กำลังเติบโตจนถอนตัวออกไปไหนไม่ได้แล้ว ถ้าสิ่งที่ผมกำลังจะทำมันทำให้รู้ความรู้สึกของตัวเอง มันก็คงคุ้มที่จะลองเสี่ยง.. มือเล็กวางลงบนไหล่กว้างของเพื่อนสนิทก่อนจะยืดตัวขึ้นพร้อมกับโน้มใบหน้าเข้าไปจูบปากมัน เพียงวินาทีเดียวทุกสิ่งทุกอย่างที่ตีรันพันยุ่งในหัวกลับมลายหายไปหมดสิ้น หัวใจเต้นถี่แรงขึ้นเรื่อยๆ แก้มกลมทั้งสองข้างรู้สึกร้อนแดง.. ทุกอย่างมีแต่คำว่าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆจนผมต้องค่อยๆผละจูบออกมาจากมัน..
            ดวงตาสองคู่จ้องมองกันและกันราวกับจะค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนลึกอยู่ภายในนั้น ผมเป็นคนหันหลบหน้าออกมาก่อน แต่ก็ถูกมือแกร่งจับแก้มแล้วดันให้หันกลับมายังองศาเดิม เซฮุนโน้มใบหน้าเข้ามาจูบผมโดยไม่ทันตั้งตัว ในตอนแรกผมยังคงนิ่งราวกับชั่งใจ แต่รสจูบที่บดเบียดเข้ามาราวกับออดอ้อนทำให้ผมจำต้องตอบสนองเขา พอเปิดริมฝีปากให้เขาได้ชิมเท่านั้นแหละ เราสองคนก็กอดและนัวเนียกันโดยที่พีคไม่ต้องสั่งให้เมื่อยปากเลย..

.
.
.

            “พวกมึงคุยกันยังไงทำไมฉากถึงขาดวะ”
            “มึงจะบ่นอะไรนักหนา กูเปลี่ยนให้แล้วนี่ไง”
            “สิบนาทีที่ให้นี่พวกมึงก่อสงครามกันหรอ”
            “จะบ้าหรอสัส”
            “แต่เคลียร์กันแล้วแน่นะ”
            “เออ”
            “งานออกมาต้องดีนะ กอดคือกอด ซบคือซบ ฟีลลิ่งต้องได้”


            “ลิปสติกที่ปากหายไปไหนหมด ทาใหม่สิโว้ย!




            TBC.
            #มีเรื่องเหล้า