วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2559

ON THE ROCK - มีเรื่องเหล้า #1

ON THE ROCK #1
- มีเรื่องเหล้า -
{Sehun x Luhan}


'มันก็แค่.. เรื่องราวของคนอกหักสองคน'





            “ส่งโปรเจกต์เสร็จแล้วพวกมึงไปไหนกันต่อวะ”
            “มีเรื่องเหล้า”
            “มีเรื่องเหล้าอีกเสียง”
            มีเรื่องเหล้า เป็นชื่อร้านนั่งดื่ม เสียงเพื่อนๆคึกครื้นกันทำเอาผมคึกไปด้วย เด็กถาปัตย์อย่างพวกเราวงจรชีวิตก็มีอยู่แค่นี้แหละครับ ปั่นงาน ส่งงาน แดกเหล้า แล้วก็วนไปที่ปั่นงานใหม่อีกครั้ง
            อะไรคือชีวิตวะ..

            มือบางกระชับกระเป๋าย่ามแบบแนวๆ(แนวไหนก็ไม่รู้) เส้นผมสีชมพูอ่อนซีดปลิวไปตามลม แฟนผมบอกว่าชอบสีนี้ เพราะผมหน้าหวานและเหมาะกับสีชมพู ไม่รู้นะว่าอะไรดลใจนักหนาให้ผมไปทำมันทั้งที่ผมเองก็เป็นผู้ชายแมนๆคนหนึ่ง แต่ผมก็ทำมันมาเพื่อให้แฟนของผมชมว่าชอบ
            สไตล์ของเด็กสถาปัตย์มันยืดหยุ่นตลอดไม่มีตายตัว ดูหัวเพื่อนผมแต่ละคนสิ ยืนอยู่ด้วยกันอย่างกับรุ้งกินน้ำ เดี๋ยวอาทิตย์หน้ามันก็ไปย้อมกันมาใหม่อีกแล้ว
            “อีแพน มึงตดหรอวะ”
            “กูเปล่า”
            “งั้นก็อีดาอึน”
            “กูเปล่า!
            หนึ่งคนเป็นคนถาม อีกสองคนปฏิเสธ ดังนั้นทุกสายตาจึงหันมามองผมเป็นตาเดียว เชี่ย กูไม่ได้ตด ผมยกมือขึ้นปิดจมูกเพราะกลิ่นมันสาหัสมากจริงๆ วงแตกกันไปคนละทิศคนละทางเลย แพน ดาอึน มิ้นท์ต่างรุมด่าผมกันใหญ่
            “ไอ้ลู่ มึงแดกสะเดามาหรอ”
            “บ้า!
            “อย่ามาปฏิเสธ เหลือมึงคนเดียวละ”
            “พ่องดิ กูเปล่า โอ๊ย!
            มือปริศนาตบกลางกบาลของผมดังป๊าบจากทางด้านหลังจนหัวจะหลุด แพน ดาอึน มิ้นท์ยืนห่างจากผมไปคนละเมตร งั้นไอ้คนที่ตบหัวผมก็คงจะเป็น..
            “ไอ้ลู่ตดเหม็น”
            “พ่อง ตดใครหอมวะไอ้ฮุน”
            ไอ้คนหัวสีดำ(หนึ่งเดียวในคณะที่ไม่ทำสีผม) ตัวสูงชะลูด หน้าตาหล่อคมๆตี๋ๆ ชื่อเซฮุน เป็นเพื่อนผมเองแต่อยู่คนละเอก แฟนมันสวยชิบหายเป็นดาวคณะวิทยาศาสตร์ด้วย ก็ดูเหมาะสมกันดีนะคู่นี้ เซฮุนเป็นคนติสท์ๆ ถึงมันจะดูปกติแบบนี้แต่มันน่ะติสท์แตกที่สุดในกลุ่มแล้ว วันนี้มันลากแตะช้างดาวทั้งที่ใส่กางเกงยีนส์ตัวละหมื่นสอง แถมไอ้กางเกงยีนส์หมื่นสองมันยังเอาคัตเตอร์กรีดจนขาดเป็นริ้วๆแล้วเอามาใส่ บ้าเอ๊ย
            “โทษทีกูมาช้า ดูดบุหรี่อยู่ สรุปใครตด”
            “พวกกูไม่รู้ แต่สันนิษฐานว่าเป็นไอ้ลู่”
            “เอากางเกงกูไปดมมั้ย ไม่ได้ตดเว้ย”
            “กูว่านะ คนถามนั่นแหละที่ตด” เซฮุนพูดขึ้น ทำให้ทุกคนต่างหันขวับไปที่คนโพล่งขึ้นมาคนแรก
            “อีมิ้นท์!
            “...”

            มิ้นท์ทำหน้าเหมือนคนโดนจับได้ “อุ๊ย กูชิ่งละ”
            สิงสาราสัตว์จากแพนและดาอึนพ่นออกมาเต็มหน้าตึกเลย ผมเองก็วิ่งไล่เตะมิ้นท์ที่บังอาจมาปรักปรำว่าผมทำเรื่องน่าเกลียดปล่อยแก๊สพิษออกมากลางที่สาธารณะ
            “กรี๊ดด ไอ้ลู่ มึงกล้าไล่เตะผู้หญิงหรอ”
            “เออ กูกล้า ทีมึงเป็นผู้หญิงยังกล้าตดหน้าตึกเลย”
            “กูขอโทษษษษ”
            มิ้นท์พนมมือท่วมหัวพร้อมกับวิ่งไปด้วย ผมเริ่มจะเหนื่อยหอบแฮ่กกับการวิ่งไล่มันแล้วนะเนี่ย จู่ๆเซฮุนก็คว้าแขนมิ้นท์เอาไว้หมับแล้วล็อกตัวให้เป็นเป้านิ่ง ฮึ่ เสร็จผมล่ะ!

            “กรี๊ด ไอ้ลู่กูบ้าจี้ ฮือ ฮ่าๆ ปล่อยกู๊”
            “เลือกเอาซักอย่างสิระหว่างหัวเราะกับร้องไห้”
            “หุบปากไปเลยเซฮุน อีคนทรยศ!
            “เล่นให้หนักเลยไอ้ลู่”
            “จัดไป!

            ผมเอานิ้วจั๊กจี๋มิ้นท์จนมันหัวเราะน้ำตาเล็ด แพนกับดาอึนก็มารุมแกล้งมันด้วย
            “พอละ กูเหนื่อย”
            ผมยืนค้ำเอว ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นคนโดนแกล้งทำไมถึงได้เหนื่อยก็ไม่รู้

            “แล้วนี่สรุปพวกมึงจะไปกันมะ”
            “ไปไหนวะ” เซฮุนถาม
            “ออกล่า”
            “นั่นมึงคนเดียวล่ะอีแพน ไปมีเรื่องเหล้า”
            “กูนัดหลินไว้ว่ะ โทษที”
            หลินก็คือแฟนของเซฮุนเอง
            “แล้วมึงล่ะไอ้ลู่”
            ทุกคนหันขวับมามองผมเป็นตาเดียว จริงๆผมก็ว่างนะ ไปครึ้มใจหลังส่งงานสักหน่อยก็น่าจะดี..
            “กูว่..”
            ยังไม่ทันที่ผมจะพูดคำว่าว่างจบเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาซะก่อน มือเล็กล้วงลงไปในกระเป๋าย่ามใบใหญ่ควานหาโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย

            “วิน”
            พอผมเรียกชื่อนี้ เพื่อนของผมก็เบะปากแล้วแซวทันที “เบื่อว่ะ พวกคนมีคู่” ผมทำหน้าแบบแร้วงัยคัยแค ก่อนจะหันหลังหลบมาคุยโทรศัพท์กับวิน แฟนของผมที่เรียนอยู่คณะเภสัช
           
            “ค่ำๆตัวเองว่างป่าว”
            “พวกแพนชวนไปมีเรื่องเหล้าอ่ะ”
            “อ้าว วินว่าจะชวนไปตลาดม.ซะหน่อย”
            “เอ่อ..” ผมหันหลังไปมองเพื่อนของผมอีกที บางครั้งมันก็ตัดสินใจยากมากนะระหว่างเพื่อนกับแฟนน่ะ..

            “ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเลยนะ ตัวเองก็ปั่นงานตลอด เค้าก็เรียนหนักจะตาย คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้วเนี่ย”
            “งั้นเราไปตลาดม.กันเนอะ”
            “โอเคค้าบ เดี๋ยวซักหกโมงครึ่งวินไปรับที่หอนะ”
            “อื้อ”
            มือเล็กลดโทรศัพท์ลงจากหูแล้วยัดมันลงกระเป๋าย่ามคู่ใจ ก่อนจะหันกลับมาหาเพื่อนที่ยืนทำหน้าหมั่นไส้กันอยู่
            “คือ.. กูไม่ว่างแล้วว่ะ”
            “พูดกับผัวเพราะเชียวนะ ตอนคุยกับพวกกูขอแบบนั้นบ้างได้ป้ะ”
            “ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวขี้กลากขึ้นปาก”
            พวกมันหัวเราะกันครืน.. ผมกับวินคบกันมาเกือบจะหนึ่งปีแล้ว อีกประมาณสองอาทิตย์ก็จะครบปี วินเป็นผู้ชายสุขุมแต่เค้าน่ารักกับผมนะ ผมมีแฟนเป็นผู้ชายแมนๆ และผมเองก็แมนๆ(แต่วินชอบบอกว่าผมน่ารัก) เอาเถอะผมไม่ซีเรียส จริงๆผมค่อนข้างยอมวินนะแต่ก็มีนิสัยไม่ดีใส่เขาบ้างเวลาที่เขาขัดใจ ลิ้นกับฟันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีกระทบกระทั่งกันบ้าง เราไม่เคยทะเลาะกันรุนแรงเลย มีแต่ง้องแง้งใส่กันนี่แหละ

            “มึงกลับหอก่อนป่าว” เซฮุนถามผม
            “อื้อ”
            “งั้นกลับพร้อมกู เดี๋ยวแว๊นไปส่ง”
            “ขอบใจนะ พวกมึง กูไปก่อนนะ”
            “ค่า ขอให้สวีทแฮปปี้กับผัวนะ”
            “ผัวอะไร กูเป็นรุก”
            “มั่นหน้ามั่นโหนกเหลือเกิน”
            “ชิ..”
            เซฮุนแอบปิดปากขำ
            “ขำไร”
            “ป่าวๆ”
            ชี้หน้าคาดโทษเอาไว้ก่อนนะ..
           
            ผมกับเซฮุนโบกมือลาผองเพื่อนก่อนจะเดินมายังโรงจอดรถของคณะ เซฮุนเดินไปที่เวสป้าของมันแล้วโยนหมวกกันน็อกให้ผมใส่
            “อ้าว ทำไมมีหมวกใบเดียวอ่ะ”
            “รถกูคนเดียวป่ะ”
            “หลินล่ะ”
            “รายนั้นเค้าไม่ซ้อนเวสป้ากูหรอก ต้องขับบีเอ็มไปรับถึงจะยอมนั่ง”
            “ซ้อนมอไซสนุกออก รถไม่ติดด้วย”
            “เออ กูถึงได้แว๊นมาเรียนไง แล้วนี่ไอ้วินยังติดนิสัยชอบบรรยากาศเงียบๆตอนขับรถอยู่มั้ย”
            “วินบอกเสียงเพลงมันรบกวนสมาธิตอนขับรถอ่ะ”
            “งี้ถ้ามึงแอบตดวินก็รู้อ่ะดิ”
            “พ่องเหอะ ขึ้นรถไปกูก็จะหลับแล้วเงียบเป็นป่าช้า”
            “ฮึ.. คู่มึงนี่ก็ตลกดีนะ”
            “แล้วนี่มึงกับหลินจะไปเที่ยวไหนกัน”
            “ไม่รู้”
            “อ้าว นัดกันยังไงวะเนี่ย”
            “ก็นัดกันทีไรไม่เคยได้ไปตามนัด กูก็ติสท์ หลินก็นู่นไม่ดีนี่ไม่เอา สรุปซื้อก๋วยเตี๋ยวมานั่งแดกที่ห้อง เมื่อวานหลินงอนกูเลยเนี่ย วันนี้เลยต้องตามง้อเค้านิดนึง”
            “คบกับคนสวยๆดีกรีดาวคณะก็อย่างงี้แหละ ดูแลเค้าดีๆหน่อยน่า”
            “เดี๋ยวพาขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดหลินก็หายงอนกูแล้ว”
            “ไอ้ทุเรศเอ๊ย”
            ผมโบกหัวมันไปทีนึงแล้วกระโดดซ้อนท้ายเวสป้ารุ่นเก๋าของมัน หอของผมกับหอของเซฮุนอยู่ติดกันเลย โดยปกติตอนเช้าผมจะนั่งวินมอไซไปคณะ แต่ถ้าบางวันผมลงมาเจอเซฮุนหน้าหอก็ติดรถไปคณะกับมันด้วยเลย
            รถมอเตอร์ไซค์คันเก๋าออกตัวไปตามถนน.. เซฮุนไม่ได้ใส่หมวกกันน็อกทำให้ผมมันปลิวไสวไปมา.. มาตีหน้าผมนี่

            “มึงกับวินยังไม่เคยหรอวะ”
            “อะไรนะ” เป็นเพราะมันพูดฝ่าลม ผมก็เลยไม่ค่อยได้ยิน
            “มึงกับวินได้กันยัง”
            ตาผมเบิกโพลงเมื่อได้ยินคำถามชัดๆ นี่ถ้ามันเป็นคนอื่นไม่ใช่เพื่อนผมผมคงไม่กล้าคุยเรื่องพวกนี้ด้วยหรอก แต่นี่เพราะเซฮุนเป็นเพื่อนของผม ผมก็เลยไม่คิดอะไรมากที่จะตอบมันไปตามตรง
            “ยังอ่ะ”
            “ไอ้วินเห็นหน้ามึงแล้วไม่ตั้งมั้ง”
            ผมผลักหัวไอ้ฮุนหนึ่งที “จะบ้าหรอ วินเค้าเป็นสุภาพบุรุษต่างหาก”
            “เหมือนโดนด่าทางอ้อมเลยกู แต่กูป้องกันทุกครั้งนะ ไม่มีพลาดแน่นอน”
            สุภาพบุรุษซะเหลือเกิน..

            เวสป้าคันน้อยชะลอเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย ผมนึกว่าเซฮุนจะจอดหน้าหอมันแล้วให้ผมลงเดินกลับหอเอง แต่มันดันขี่เลยมาหอผมที่อยู่ถัดมาอีกนิด
            “เฮ้ยๆๆ จอดหน้าหอมึงก็ได้ เดี๋ยวกูเดินไปเอง”
            “มาส่งก็ต้องส่งให้ถึงที่ดิ”
            รถหยุดจอดตรงหน้าหอของผมพอดิบพอดี ผมกระโดดลงจากรถมันแล้วยืนค้ำเอวบ่น
            “ลำบากกลับรถอีก ทางก็แคบ ใกล้แค่นี้กูเดินเองได้น่า”
            “กูมีสกิลขี่เวสป้าถอยหลัง”
            “ยังไง”
            “ดู”
            ไอ้ผมก็นึกว่ามันไปฝึกมา ที่ไหนได้มันใช้เท้าดันพื้นจนรถเคลื่อนตัวถอยหลัง โธ่ไอ้ขี้กาก ผมยืนขำให้กับมุกขี่เวสป้าถอยหลังของมันก่อนจะโบกมือบ๊ายบายไอ้ฮุน ถ้าผมเป็นหลินผมคงปวดหัวกับมุกแป้กของมันทุกวี่ทุกวันแหงๆ
            ผมเดินขึ้นบันไดและควักคีย์การ์ดออกมาจากย่ามเพื่อเปิดประตูเข้าหอพัก แต่พอเห็นเงาของตัวเองสะท้อนกับกระจกก็ต้องตกใจเพราะผมลืมถอดหมวกกันน็อกคืนไอ้ฮุน! มิน่าล่ะเมื่อกี้เดินผ่านลุงยามแกหัวเราะใหญ่เลย ผมรีบปลดตัวล็อกใต้คางแล้วถอดมันออกก่อนจะวิ่งออกไปหน้าหอเผื่อว่าไอ้ฮุนมันจะยังขับเวสป้าถอยหลังอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน แต่พอออกมาหน้าหอก็ไม่เจอมันแล้ว..
            “เดี๋ยวค่อยคืนพรุ่งนี้ก็ได้มั้ง..”
           
           
            ผมอุ้มหมวกกันน็อกพร้อมกับเดินขึ้นห้อง ในมือกำลังพิมพ์ไลน์ส่งไปบอกเซฮุน
            สัส กูลืมคืนหมวกกันน็อกมึง
            เซฮุนอ่านและตอบในทันที

            ‘อ้าวเวร
            ‘งั้นพรุ่งนี้ตอนเช้าเอามาคืนกู ละเดี๋ยวไปคณะพร้อมกัน
            ‘เค้?

            ‘พรุ่งนี้กูไม่มีเรียนเช้าอ่ะ งั้นถ้ามึงจะไปคณะก็โทรมาบอกกูละกัน เดี๋ยวเอาลงไปให้
           
            ‘เคๆ
            ‘ก็ว่าโล่งๆ

            ‘เออ ก็ว่าหนักๆหัว
            ‘ยามคงว่ากูบ้า

            ‘คนบ้าอะไรใส่หมวกกันน็อกเข้าหอ
            ‘จะไปปล้นรึไงค้าบ

            ‘โจรที่ไหนจะหน้าตาดีขนาดนี้

            ‘อะๆ ยอม
            ‘หลินโทรมา พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวโทรหานะ ไอ้ลู่ตดเหม็น

            “ถ้าตดมึงหอมกูให้สิบบาทเลย..”
            ผมส่ายหัวเบาๆแล้วไขกุญแจเข้าห้อง เตรียมตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปตลาดม.กับวิน ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เจอกันจริงๆนั่นแหละเพราะต่างคนต่างก็มีภาระหน้าที่ เด็กสถาปัตย์อย่างผมเวลาจะนอนยังไม่มี ไลน์ก็ไม่ยอมตอบใครจนโดนเพื่อนเลิกคบไปหลายคนแล้ว ส่วนใหญ่พวกผมจะรู้กันว่ามีเรื่องด่วนให้โทรเอา ไลน์น่ะมือไม่ว่างมาจิ้มตอบหรอก ปั่นโปรอยู่
            ใช้เวลาไม่นานกับการอาบน้ำแต่งตัว ผมสวมเสื้อเชิ้ตสบายๆกับกางเกงขาสั้น หยิบหมวกปีกแคบมาสวมและกระเป๋าย่ามคู่ใจมาสะพายเป็นอันเสร็จ ผมเดินออกจากห้องลงบันไดเพื่อรอวินที่หน้าหอ ร่างเล็กนั่งเตะขาอยู่บนม้านั่งอย่างคนอเลิร์ตอยู่สุขไม่เป็น ก่อนจะหยิบน้ำหอมขึ้นมาฉีดต้นคอเพราะวินชอบกลิ่นหอมๆ
            ผมนั่งรอไปได้เกือบๆห้านาที ก็มีรถยนต์คันหนึ่งจอดเทียบหน้าหอ ผู้หญิงในชุดนักศึกษาของม.อื่นหน้าตาสะสวยดีเปิดประตูเดินลงมาจากรถ ท่าทางเป็นลูกคุณหนูและรวยพอตัว ผมนั่งมองเธออย่างสงสัยว่ามาทำอะไรที่นี่ อาจจะมีคนรู้จักอยู่หอนี้ก็ได้มั้ง ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแล้วเหม่อมองไปทางอื่น ไม่นานเสียงรองเท้าส้นสูงนั้นก็เดินตรงเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ก่อนที่เธอจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับมองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
            “ลู่หานใช่มั้ย”
            เธอรู้จักชื่อผมด้วย.. ผมก็เลยลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วยืนคุยกับเธอ
            “ใช่”
            “ฉันเป็นคู่หมั้นของวิน”
            “ฮะ?” ผมร้องอุทานออกมาเสียงดัง
            “นายเป็นแฟนกับวินใช่มั้ย”
            “ใช่ วินมีคู่หมั้นอยู่แล้วงั้นหรอ ฉันไม่เห็นรู้เรื่องมาก่อนเลย”
            “ฉันกับวินถูกจับหมั้นกันตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ ครอบครัวของเราสองคนสนิทกันมาก ผู้ใหญ่เห็นดีเห็นงามว่าเราสองคนเหมาะสมกันทุกอย่าง ทั้งหน้าตา การศึกษา และฐานะ”
            “แล้ว?”
            “อีกปีกว่าๆเราก็จะเรียนจบกันแล้ว พอเรียนจบปุ๊บเราก็จะแต่งงานกันทันที ฉันอยากมาบอกให้นายรู้เอาไว้ว่าวินอาจจะไม่ได้จริงจังกับนายมาก อาทิตย์ก่อนเขามาทานข้าวที่บ้านของฉันและพาฉันออกไปดูหนัง เราเข้ากันได้ดีมาก อีกอย่างเราสองคนสนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เขาเองก็ชอบฉันเหมือนกัน”
            “ที่มาพูดเนี่ย ต้องการอะไร”
            “ฉันอยากให้นายเลิกยุ่งกับวิน.. ฮึก ขอร้องนะ ฉันชอบเขา ชอบเขามากๆ ถ้าทางผู้ใหญ่รู้ว่าวินมีแฟนเป็นผู้ชายคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ ทางที่ดีนายควรเลิกยุ่งกับวินซะตั้งแต่ตอนนี้เลย มันไม่มีทางเป็นไปได้”
            เธอเริ่มร้องไห้คร่ำครวญ ทั้งๆที่เป็นผมต่างหากที่ควรจะร้องไห้
            ให้ตาย.. ผมควรจะตกใจเรื่องไหนก่อนดีระหว่างเรื่องที่วินมีคู่หมั้นอยู่แล้ว กับเรื่องที่วินหลอกผมว่ารักผมอย่างนั้นอย่างนี้
            โกหกทั้งเพ..
            “ถ้าไม่เห็นแก่อนาคตของวิน ก็เห็นแก่ความสุขของวินเถอะนะ..”
            “ตอนที่เราคบกันมันก็มีความสุขดี อีกอย่างฉันเรียนสถาปัตย์เกรดเฉลี่ยสามจุดแปดห้า ไม่มีอนาคตตรงไหนช่วยบอกทีดิ”
            “ฉันเรียนเภสัชเหมือนวิน เราคุยกันได้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเรื่องเรียนหรือเรื่องส่วนตัว”
            “...”
            “ไลฟ์สไตล์เราสองคนคล้ายกันทุกอย่าง คำพูด การวางตัวในสังคม ฉันสามารถยืนเคียงข้างเขาได้โดยที่เขาจะไม่มีวันอายใคร”
            “อ๋อ ทนมาเยอะแล้วดิกับการที่วินมีแฟนเก็บ วันนี้ก็เลยทนไม่ไหวจนต้องมาร้องไห้ให้แฟนเก็บของคู่หมั้นฟังว่าฉันเหมาะสมกับเขาอย่างนั้นอย่างนี้ วินเนี่ยหล่อมากมั้ง ถ้าอยากได้นักก็เอาไปเลย ไม่เสียดายหรอกเว้ย!
            ผมพูดแค่นั้นแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าหอ เดินปึงปังขึ้นบันไดเพื่อกลับเข้าห้องของตัวเองอย่างเร็วที่สุด พอผมมาถึงห้องปุ๊บก็เหวี่ยงกระเป๋าย่ามลงบนเตียง ถอดรองเท้าทิ้งระเกะระกะไว้ตรงประตูแล้วเดินมานั่งร้องไห้บนเตียง ถึงผมจะตะโกนโวยวายใส่เธอไปแบบนั้น แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าผมไม่เสียใจ..
            ใครมันจะไปรับได้ในทันทีว่าแฟนที่คบกันมาตั้งเกือบปีมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว ผมคนนึงล่ะที่ยังรับไม่ได้ และผมก็ไม่ใช่แม่ชีเทเรซ่าที่จะยอมรับและพร้อมให้อภัย คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าวินจะเป็นผู้ชายแบบนี้ ลับหลังผมเขาพาผู้หญิงอีกคนไปกินข้าว ดูหนัง เจอครอบครัว
            และสถานะของผมจริงๆแล้วไม่ใช่แฟน แต่เป็นแฟนเก็บ
            ด่าไอ้เหี้ยยังน้อยไปเลย

            เสียงโทรศัพท์แผดร้องมาจากในกระเป๋าย่าม คงเป็นวินที่โทรมาตามว่าทำไมถึงให้เขารอหน้าหอ เขาเป็นคนที่ไม่ชอบรอ ไม่ชอบการผิดเวลานัด ผมถอนหายใจแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าควานหาเจ้าเครื่องมือสื่อสาร เป็นวินจริงๆด้วยที่โทรมา มือเล็กปาดน้ำตาออกลวกๆแล้วกดรับสาย
            “อยู่ไหน วินอยู่หน้าหอแล้ว”
            “กลับไปเลยไป”
            “ลู่หาน? ทำไมเสียงสั่นๆ เป็นอะไรหรือเปล่า”
            “เป็นห่วงคู่หมั้นของวินดีกว่า เค้าก็ร้องไห้เหมือนกันนะ หมาดๆเมื่อกี้เลย”
            “...”
            “ไม่เจอกันหรอ น่าจะขับรถสวนกันนะ”
            “คือ..”
            “วิน ทำไมเหี้ยแบบนี้อ่ะ”
            “อย่าพูดคำหยาบกับวินนะ วินไม่ชอบ”
            “อึดอัดมากป่ะที่ต้องอยู่กับคนแบบเราอ่ะ เออ กูไม่ได้เรียนเภสัช ไม่ได้เป็นลูกคุณหนูทุกระเบียดนิ้ว กูผิดอะไรวิน ทำไมถึงต้องหลอกกันด้วยวะ มีคู่หมั้นแล้วจะมีกูอีกทำไมอ่ะ เค้าดี เค้าสวย เค้าเป็นคนที่มึงชอบแล้วเค้าก็ชอบมึง ตอนเนี้ยกูรู้สึกว่ากูไม่มีค่าอะไรเลย มึงทำให้คนๆนึงรู้สึกแบบนี้ถามจริงว่ารู้สึกผิดบ้างมั้ย ปีนึงมันไม่ใช่เวลาน้อยๆเลยนะ ยิ่งคิดแม่งก็ยิ่งเจ็บว่ะสัดเอ๊ย”
            “ลู่หานเองก็อึดอัดใช่มั้ยที่ต้องคบกับวินน่ะ พูดระบายออกมาซะขนาดนี้”
            “เออ กูอึดอัด”
            “โอเค.. วินอาจจะไม่ดีพอ วิน..”
            “เราจบกันแค่นี้เหอะ ไม่ต้องโทร ไม่ต้องไลน์มาเพราะกูจะบล็อกให้หมด ไอ้ควาย”
            มือเล็กกดตัดสายฉับก่อนจะปิดเครื่องหนีไปเลย ร่างบางนั่งกอดเข่าและซุกใบหน้าร้องไห้กับตัวเอง ความรักนี่มันก็มาไวและไปไวโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเหมือนกันนะ เมื่อวานเรายังบอกรักกันหวานจ๋อย วันนี้กลับเลิกรากันและกลายเป็นคนไม่รู้จักกันซะแล้ว
            ผู้ชายแย่ๆผมไม่จำเป็นต้องไปเสียดายอะไร แต่พูดตามตรง ผมเสียดายวิน.. เสียดายระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาด้วย เราสองคนเป็นคู่ที่น่ารักคู่หนึ่ง โอเควินเป็นเด็กสายวิทย์และผมเป็นเด็กสายศิลป์ เราค่อนข้างต่างกันสุดขั้วเลยล่ะ แต่เราก็เข้ากันได้ดีจนได้คบเป็นแฟนกัน อาจจะมีบ้างที่วินมีกฎระเบียบในชีวิตเยอะ ห้ามเสียงดังในรถ ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามนู่นห้ามนี่เต็มไปหมด ผมยอมรับว่าผมอึดอัดเพราะผมเป็นคนชิลๆและค่อนข้างอินดี้ แต่มันก็ผ่านมาได้ด้วยดีตลอดไม่ใช่หรอ
            การที่ผมด่าสาดไปอย่างนั้นเป็นเพราะอารมณ์มันขึ้น แต่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องมานั่งร้องไห้เสียใจอยู่กับตัวเองอย่างกับคนบ้า
            ผมเสียใจมากจริงๆที่เราต้องจบกันแบบนี้
            เพราะผม.. ยังคงรักวินอยู่



            วันต่อมา
            เด็กหนุ่มสถาปัตย์ผมสีดำ สวมเสื้อนักศึกษาติดกระดุมทุกเม็ดยันคอ กางเกงยีนส์ขาดตั้งแต่ขาอ่อนยันตาตุ่ม สวมรองเท้าผ้าใบเก๋าๆ นั่งรอเพื่อนตัวเล็กอยู่บนมอเตอร์ไซค์คันเก่า เขาโทรไปปลุกลู่หานเมื่อห้านาทีที่แล้ว เสียงงัวเงียเหมือนพระอินทร์ยังไม่ปล่อยตัวลงมาจากการเข้าเฝ้า แต่เสียงหวานนั่นก็ตอบรับอือๆว่าจะรีบเอาหมวกกันน็อกลงมาคืน ขอเวลาล้างหน้าห้านาที
            รออีกแป๊บนึงร่างเล็กก็เดินเตาะแตะออกมาจากหอพัก ใบหน้าสวยดูอิดโรย ดวงตาบวมเป่งเป็นลูกมะนาว มองปราดเดียวก็รู้ว่าคงร้องไห้มาอย่างหนักและไม่ค่อยได้นอนเท่าไหร่
            “อ้าว ซอมบี้”
            “บ้า อ่ะหมวก”
            ลู่หานโยนให้เซฮุนรับของที่ลืมไว้
            “เป็นไรวะ หน้าเซ็งๆ”
            “เดี๋ยวไปม.เล่าให้ฟัง ขี้เกียจเล่าหลายๆม้วน”
            “เออ ไปนอนไปมึงอ่ะ เห็นสภาพแล้วไม่น่าปลุกมึงขึ้นมาจากที่นอนเลย รู้สึกผิด กูยอมโดนเสียค่าปรับไม่ใส่หมวกดีกว่าทรมานเพื่อน”
            “ไม่เป็นไรๆ อย่าซีเรียสเลย”
            “แต่กูพูดเลยนะ..”
            “อะไร”
            เซฮุนลูบคางแล้วมองไปยังเพื่อนตัวเล็กหน้าสวยอย่างครุ่นคิด ตอนไอ้ลู่พึ่งตื่นตามันจะปรือหน่อยๆ ผมฟูๆไม่ได้จัดทรงดูเซ็กซี่ไปอีกแบบ แถมตอนนี้มันยังใส่เสื้อกล้ามตัวโคร่งๆเห็นไหปลาร้าสวยและผิวขาวๆแสบตานั่นอีก
            “ถ้ากูเป็นไอ้วิน กูตั้งยันเช้า”
            “อยากไปเรียนแบบหล่อๆ หรือไปแบบขาหักห๊ะ!
            “แบบหล่อๆดีกว่าเยอะ”
            “ถ้ากูเป็นหลินกูคงปวดหัวเช้าเที่ยงเย็นแน่ๆอ่ะ วู้”
            “กูเลิกกับหลินแล้ว”
            “มึงแม่งกวนส้นต..”
            “...”
            “ฮะ?”
            “กูเลิกกับหลินแล้ว”
            แววตาของเซฮุนดูเศร้าหมองลงเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แต่แป๊บๆก็กลับมายิ้มให้ลู่หานเหมือนเดิมราวกับจะบอกว่ากูไม่เป็นอะไร ลู่หานเดินเข้าไปหาไอ้ผู้ชายอินดี้แต่งตัวซกมกด้วยแววตาสงสารและเห็นใจ สองแขนบางสวมกอดเพื่อนสนิทโดยที่เซฮุนไม่ทันได้ตั้งตัว
            เสียงหวานเอ่ยสั่นๆ..

            “ไอ้เหี้ย ทำไมต้องอกหักพร้อมกันด้วยวะ..”



            TBC.
            #มีเรื่องเหล้า



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น